Page 71 - kpiebook67026
P. 71
70 ผลการใช้กฎหมายรับรองเพศสภาพ : กรณีประเทศอาร์เจนตินา มอลตา และไอซ์แลนด์
ที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป กล่าวคือ ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้วางแนวทางให้รัฐมีหน้าที่
คุ้มครองกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศจากการใช้ความรุนแรงของบุคคลอื่น ๆ
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่กระท�าการต่อต้านการใช้เสรีภาพในการแสดงออก และการชุมนุม
ของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในสังคม เช่น การให้
ความคุ้มครองแก่การเดินขบวนพาเหรดของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
ในที่สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งในเรื่องนี้ ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้วางหลักไว้ว่า
เสรีภาพในการชุมนุมของบุคคลมิได้เป็นสิทธิของบุคคลส่วนใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว
รัฐจึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศซึ่งเป็นบุคคล
ส่วนน้อยจากการใช้ความรุนแรงของกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านการเดินขบวนซึ่งเกิดขึ้น
จากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงเหตุผลส�าคัญของการจ�ากัดสิทธิด้านการแสดงออก
การสมาคม และการชุมนุมโดยสงบของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศดังที่ได้
กล่าวมาในข้างต้น จะพบว่ารัฐส่วนใหญ่มักน�ามาเหตุผลเรื่องศีลธรรมอันดีของประชาชน
(Public Morality) มาใช้เป็นข้ออ้างส�าหรับการจ�ากัดสิทธิด้านการแสดงออก การก่อตั้ง
สมาคม และการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งในเรื่องนี้ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปเคยวางหลักไว้ว่า
กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศย่อมมีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งเป็นสิทธิ
ของพลเมือง ดังนั้น การที่รัฐอ้างเหตุผลเรื่องศีลธรรมมาใช้จ�ากัดสิทธิของพลเมือง
ก็ต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน กล่าวคือ
การจ�ากัดสิทธิของพลเมืองต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนให้เกิดความหลากหลายของ
การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นเรื่องต่าง ๆ ในสังคม ดังนั้น สังคมจึงมีความจ�าเป็นต้อง
ยอมรับการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและข้อมูลบางอย่างซึ่งแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เป็น
ที่ชื่นชอบของบุคคลบางกลุ่มก็ตาม รัฐจึงไม่ควรจ�ากัดเสรีภาพในการแสดงออกโดย
อาศัยเหตุผลทางศีลธรรมแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่รัฐยังมีหน้าต้องสร้างหลักประกัน
การใช้เสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าเสรีภาพในเรื่องดังกล่าวจะมีความซับซ้อนแค่ไหน
เพียงใดก็ตาม
ในเรื่องนี้ ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปยอมรับว่าการจ�ากัดเสรีภาพในการแสดงออก
ของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถกระท�าได้หากเป็นไปเพื่อคุ้มครอง
สิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งในเรื่องนี้ศาลเห็นว่า เมื่อใดก็ตามในพื้นที่นั้นมีการจ�ากัดเสรีภาพ
ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือมีการถกเถียงในประเด็นเรื่องผลประโยชน