Page 60 - kpiebook67011
P. 60
59
การพัฒนาทฤษฎีทางการเมืองของเธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากพิจารณาตามนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าส�าหรับ
อาเรนดท์ผู้ซึ่งนิยมในแนวทางของอริสโตเติลย่อมต้องมองว่าพื้นที่ทางการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้มีเสรีภาพ
ย่อมไม่ใช่พื้นที่ทางการเมืองเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ถ้อยค�าถูกเก็บกักและลดทอนไว้ และในขณะเดียวกัน
มันก็ย่อมสะท้อนให้เห็นได้ว่าในพื้นที่ที่ขาดเสรีภาพเช่นนี้ ความเสมอภาคก็หาใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เช่นกัน
การก�าเนิดขึ้นของสิ่งที่เรียกว่าสังคม ในลักษณะของการเป็น “กิจกรรมของแม่บ้าน” ภายในรัฐ
เกิดขึ้นจากการที่กิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเดิมในพื้นที่ครัวเรือนได้ยกย้ายออกมาสู่พื้นที่ที่มองเห็นได้
99
อย่างพื้นที่สาธารณะ 38 อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่และไม่เพียงได้ท�าให้ขอบเขตที่เคยแบ่งแยกกัน
อย่างชัดเจนระหว่างพื้นที่ส่วนตัวอย่างพื้นที่ครัวเรือนและพื้นที่สาธารณะอย่างพื้นที่ทางการเมืองนั้น
เลือนหายไป หากแต่ก็ท�าให้ขอบเขตทางสังคมและขอบเขตทางการเมืองเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกออก
100
จากกันได้เด็ดขาดด้วยเช่นเดียวกัน อาเรนดท์มองว่าการก�าเนิดของขอบเขตทางสังคม (social realm)
อันถือก�าเนิดจากวิธีคิดแบบเศรษฐศาสตร์การเมืองในโลกสมัยใหม่นี้เป็นสิ่งที่ท�าให้พื้นที่สาธารณะ
(Public sphere) แต่เดิมซึ่งเป็นพื้นที่ของการเมืองกลายเป็นพื้นที่ของการจัดการครัวเรือนที่ขยายใหญ่
ขึ้นมาในระดับรัฐ ในแง่นี้ ครัวเรือนเดิมจึงไม่ได้สามารถรักษาหรือผูกขาดการเป็นหน่วยของการผลิต
และการตอบสนองต่อความจ�าเป็นของมนุษย์ได้ดังเช่นในสมัยยุคก่อนหน้า เช่นเดียวกับที่กิจกรรมอย่าง
การเมืองซึ่งควรเป็นกิจกรรมที่โดดเด่นของพื้นที่สาธารณะก็ถูกลดทอนบทบาทลงไปเป็นเพียงหน้าที่ของ
สังคมแต่เพียงเท่านั้น 101
ไม่เพียงแค่นั้น การถือก�าเนิดของขอบเขตทางสังคมยังเปลี่ยนแปลงซึ่งความหมายของค�าว่า
“ส่วนตัว” และ “พื้นที่ส่วนตัว” ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันได้เปลี่ยนความหมายจากการเป็นพื้นที่อันมี
การกีดกัน (deprivation) จากความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบไปสู่พื้นที่ของความคุ้นเคยใกล้ชิด (intimacy)
นอกจากนี้มันยังท�าการดูดซับ “ครอบครัว” เข้าไปเป็น “กลุ่มทางสังคม” โดยการมองว่าสังคมคือครอบครัว
ขนาดใหญ่ที่สมาชิกในสังคมต่างก็เหมือนกับผู้คนในครอบครัวเดียวกัน ในแง่นี้การก�าเนิดของสังคม
ในรัฐสมัยใหม่จึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไปไกลหรือแตกต่างอันใดจากทฤษฎีของการก�าเนิดรัฐของอริสโตเติล
ที่มองว่ารูปแบบการปกครองในรูปแบบกษัตริย์หรือทรราชย์ เพียงแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบจากการปกครอง
โดยราชวงศ์ไปสู่การปกครองในแบบที่ไม่ได้มีผู้ใดปกครอง (no-man rule) ส�าหรับอาเรนดท์แล้ว ตัวอย่าง
ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดและถือเป็นที่สุดของรูปแบบการปกครองในรูปแบบทางสังคมเช่นนี้ก็คือการปกครอง
ด้วยระบบราชการ ระบบซึ่งครอบคลุมไปในทุกภาคส่วนและมีล�าดับชั้นที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ระบบที่แม้ว่า
จะไม่ได้มีผู้ใดเข้าปกครองอย่างชัดเจนก็ไม่ได้หมายความว่าไร้ซึ่งการปกครองและในหลายกรณีก็แสดงให้
เห็นแล้วว่าเป็นรูปแบบของการปกครองที่โหดร้ายและเป็นรูปแบบของการปกครองที่ไม่ต่างอะไรกับการ
ปกครองแบบทรราชย์
99 Ibid., 38.
100 Ibid., 33.
101 Ibid.