Page 44 - kpiebook66024
P. 44
การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ภายใต้ระบบรัฐสภา การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ภายใต้ระบบรัฐสภา
ฉบับก่อน ๆ ที่บัญญัติไว้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการบัญญัติกลไกเช่นนี้ในรัฐธรรมนูญ
ฉบับปัจจุบันจะมีลักษณะที่อาจทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีอิสระจาก
พรรคการเมืองของตนมากขึ้นบ้างในกรณีที่ถูกขับออกจากพรรค แต่การบัญญัติเจาะจง
บังคับให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องสังกัดพรรคก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า
อาจทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขาดอิสระได้
3.2.2
การกำหนดให้รัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นับเป็น
รัฐธรรมนูญฉบับแรกและฉบับเดียวที่กำหนดให้สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรีในเวลาเดียวกันได้ ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา ทั้งนี้
สมคิด เลิศไพฑูรย์ ได้สรุปเหตุผลสำคัญที่รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวไม่ต้องการให้
ฝ่ายบริหารดำรงตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกันไว้ ดังนี้
“1) บทบาทของฝ่ายบริหารและบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ
เป็นบทบาทที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน
ในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกัน
ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลดังกล่าวจะทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะที่เป็นผู้ควบคุม
การบริหารราชการแผ่นดิน
2) เป็นที่ทราบกันดีว่าฝ่ายนิติบัญญัติในประเทศไทยตรากฎหมาย
ได้น้อยมากในแต่ละปี แม้จะมีสาเหตุหลายประการก็ตาม แต่เหตุผลหนึ่งก็คือ
ฝ่ายนิติบัญญัติในประเทศไทยไม่ได้ให้ความสนใจต่อการตรากฎหมายเท่าที่ควร
ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมักให้ความสนใจกับการตรากฎหมาย
ค่อนข้างน้อย แต่เน้นหนักความสนใจของตนเองไปที่การเป็นฝ่ายบริหารมากกว่า
การห้ามมิให้ฝ่ายบริหารดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกันจึงเท่ากับ
ทำให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสามารถทุ่มเทการทำงานของตนได้อย่างเต็มที่
สอดคล้องกับหลักการ “แยกงานกันทำ” เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
เป็นส่วนรวม
3) การให้ฝ่ายนิติบัญญัติดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายบริหารได้ยังเป็น
ช่องทางให้มีการแสวงหาประโยชน์จากการเป็นรัฐมนตรี เพราะสมาชิก