Page 50 - kpiebook66023
P. 50
มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ให้แก่ผู้ถือหุ้น ต่อมาเมื่อถึงเวลาจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม นาย ก. ต้องแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบว่า จะไม่มี
การแบ่งปันก าไรต่อไปเพราะจะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันก าไร
จะเห็นว่าเกิดประเด็นความลักลั่นของกฎหมายที่อาจสร้างภาระให้กับประชาชนได้ แม้ว่า
ในทางปฏิบัติ นาย ก. อาจไม่จ าเป็นต้องมีการประกอบการจริง ๆ เพียงรอให้ครบระยะเวลาที่กฎหมาย
ก าหนด และอาจไม่ได้มีการสร้างก าไรหรือจ่ายเงินปันผลเลยก็ตาม ตัวอย่างดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า
ระยะเวลาด าเนินกิจการ 1 ปี ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกความเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริง แต่อาจสร้าง
ภาระให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเด็นทางกฎหมายได้ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าที่กฎหมายต้อง
ก าหนดระยะเวลาเช่นนั้น เพื่อป้องกันผู้ที่ไม่ได้มีพันธกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริง เพียงแต่หวังจะได้รับสิทธิ
ประโยชน์ภายใต้ พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่ต้องการจะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมในรูปแบบของบริษัทหรือห้าง
หุ้นส่วน จึงควรมีการวางแผนโครงสร้างองค์กรไว้ตั้งแต่ตอนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน เช่น การแก้ไข
เพิ่มเติมวัตถุประสงค์เพื่อสังคม การก าหนดสัดส่วนการแบ่งปันก าไรไม่เกินร้อยละ 30 ในข้อบังคับของ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หรือประเด็นเรื่องการเสียภาษี เป็นต้น
4.2.2 ประกำศคณะกรรมกำรส่งเสริมวิสำหกิจเพื่อสังคม เรื่อง เงื่อนไขกำรน ำผลก ำไร
ไปใช้เพื่อสังคม พ.ศ. 2562
89
ประกาศฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อก าหนดเงื่อนไขการบริหารจัดการรายได้และก าไร
ของวิสาหกิจเพื่อสังคม กล่าวคือ ก าไรที่ได้จากการประกอบธุรกิจนั้น จะค านวณจากก าไรสุทธิหลังจากหัก
ภาษีเงินได้นิติบุคคล และรายการดังนี้ (1) เงินที่จัดสรรไว้เป็นทุนส ารอง และ (2) เงินสมทบที่น าส่งเข้า
กองทุนตามมาตรา 13 หลังจากได้ก าไรสุทธิแล้ว จะต้องมีการจัดสรรก าไรออกเป็นสองส่วน คือ (1) ส่วนที่
ใช้เพื่อสังคม และ (2) ส่วนที่น าไปแบ่งปันให้แก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้น โดยมีประเด็นที่ต้อง
พิจารณา ดังนี้
90
การตั้งทุนส ารองของบริษัทนั้น มาตรา 1202 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
91
ก าหนดว่า ในทุกครั้งที่บริษัทมีมติของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นอนุญาตให้มีการจ่ายเงินปันผล บริษัทจะต้อง
จัดสรรทุนส ารองไว้อย่างน้อยร้อยละ 5 ของก าไรในปีนั้น จนกว่าทุนส ารองจะมีจ านวนอย่างน้อยร้อยละ 10
ของทุนจดทะเบียน หรือจะก าหนดสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ก็ได้ แต่จะต้องระบุไว้ในข้อบังคับของบริษัท
ในกรณีที่บริษัทไม่มีการจ่ายปันผล หรือกรณีบริษัทขาดทุน ก็ไม่จ าเป็นต้องจัดสรรเงินไว้เป็นทุนส ารอง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ทุนส ารองที่กฎหมายก าหนดคือ อย่างน้อย
ร้อยละ 10 หรือ 100,000 บาท สมมติในปี 2564 มีก าไรสุทธิหลังหักภาษีแล้วจ านวน 50,000 บาท และมี
มติให้จ่ายเงินปันผล บริษัทจะต้องกันเงินร้อยละ 5 ของก าไร หรือ 2,500 บาท เป็นทุนส ารอง ท าให้เหลือ
89 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136, ตอนพิเศษ 257 ง, หน้า 27, 16 ตุลาคม 2562
90 ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1202 ทุกคราวที่แจกเงินปันผล บริษัทต้องจัดสรรเงินไว้เป็นทุนส ารองอย่าง
น้อยหนึ่งในยี่สิบส่วนของจ านวนผลก าไรซึ่งบริษัทท ามาหาได้จากกิจการของบริษัท จนกว่าทุนส ารองนั้นจะมีจ านวนถึงหนึ่ง
ในสิบของจ านวนทุนของบริษัทหรือมากกว่านั้น แล้วแต่จะได้ตกลงก าหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท 35
91 ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1201 ห้ามมิให้ประกาศอนุญาตเงินปันผล นอกจากโดยมติของที่ประชุมใหญ่