Page 49 - kpiebook66023
P. 49

มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม




                  อัตโนมัติ แต่มูลนิธิและสมาคมก็ไม่มีทั้งหุ้นส่วนและผู้ถือหุ้น จึงอาจตีความได้อีกนัยว่า มูลนิธิและสมาคมไม่
                  อยู่ในบังคับตามมาตรา 6 เลย และเฉพาะรูปแบบบริษัทและห้างหุ้นส่วนเท่านั้นที่จะต้องเลือกประเภทของ

                  วิสาหกิจเพื่อสังคม แต่ก็จะไม่ชัดเจนว่าสหกรณ์อยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา 6 หรือไม่

                                ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาในเรื่องความไม่สอดคล้องของการใช้ค าและการตีความกฎหมาย
                  ของมาตรา 6 จึงควรมีการแก้ไขค าที่ใช้ให้ครอบคลุมนิติบุคคลประเภทต่าง ๆ มากกว่าบริษัทและห้าง
                  หุ้นส่วน เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมข้อความเป็น “หุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น เจ้าของกิจการ สมาชิก หรือผู้แทนนิติ
                  บุคคล” รวมถึงการแก้ไขข้อความในมาตราอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น มาตรา 5(2) และ (3) และกฎหมาย

                  ล าดับรองอื่น ๆ

                                นอกจากนี้ ค าว่า “ก าไร” ก็สะท้อนถึงรูปแบบองค์กรธุรกิจเป็นหลักเช่นกัน ในขณะที่
                  องค์กรไม่แสวงหาก าไร เช่น มูลนิธิหรือสมาคม ไม่มีหรือไม่เน้นการสร้างก าไรเลย เช่น มาตรา 78 แห่ง ป.พ.พ.
                  ก าหนดว่า สมาคมจะต้อง “มิใช่เป็นการหาผลก าไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน” หรือมาตรา 110 วรรคสอง
                  แห่ง ป.พ.พ. ก าหนดว่า “การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใด

                  นอกจากเพื่อด าเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง” เมื่อกฎหมายวิสาหกิจเพื่อสังคมต้องเกี่ยวข้องกับ
                  นิติบุคคลภายใต้กฎหมายอื่น ๆ ด้วย จึงควรพิจารณาค าในตัวบทกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่น ๆ
                  เช่นกัน จึงอาจแก้ไขค าเป็น “แบ่งปันก าไร รายได้ หรือผลประโยชน์อื่นใด” เป็นต้น
                                ดังนั้น หากต้องการให้รูปแบบองค์กรอื่น ๆ มาจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพิ่มมาก

                  ขึ้น ควรต้องมีการศึกษาท าความเข้าใจกฎหมายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การใช้ค าต่าง ๆ ตามกฎหมายให้ถูกต้อง
                  รวมถึงการประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมอีกด้วย

                  4.2 กฎหมำยล ำดับรองภำยใต้พระรำชบัญญัติส่งเสริมวิสำหกิจเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

                                4.2.1 ประกำศคณะกรรมกำรส่งเสริมวิสำหกิจเพื่อสังคม เรื่อง ระยะเวลำด ำเนินกิจกำร
                                                                  88
                  ในกำรขอจดทะเบียนเป็นวิสำหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562
                                ประกาศฉบับดังกล่าวก าหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมส าหรับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม
                  กล่าวคือ “ข้อ 3 ค าขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ต้องมีหนังสือแสดงเจตนารมณ์การจัดตั้งวิสาหกิจ

                  เพื่อสังคมและรายละเอียดของกิจการ ซึ่งด าเนินกิจการมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งปี” หมายความว่า ก่อนที่จะ
                  จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น จะต้องมีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและด าเนินกิจการมาแล้วไม่
                  น้อยกว่าหนึ่งปี ประเด็นที่ควรพิจารณาคือ นิติบุคคลรูปแบบบริษัทและห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่มีเรื่องการก าหนด
                  วัตถุประสงค์เพื่อสังคม และบังคับให้ต้องมีการแบ่งปันก าไรแก่สมาชิก ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่อาจเป็น
                  อุปสรรคต่อการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมหลังจากด าเนินกิจการมาแล้ว 1 ปีได้

                                ตัวอย่างเช่น นาย ก. ต้องการจะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่ประสงค์จะ

                  แบ่งปันก าไรในรูปแบบนิติบุคคลบริษัทจ ากัด แต่เนื่องจากกฎหมายก าหนดให้ต้องมีการประกอบการมาแล้ว
                  อย่างน้อย 1 ปี ซึ่งในระหว่าง 1 ปีนี้ นาย ก. ต้องด าเนินกิจการในรูปแบบบริษัททั่วไปที่มีการแบ่งปันก าไร




                                                                                                           34
                  88  ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136, ตอนพิเศษ 248 ง, หน้า 29, 7 ตุลาคม 2562
   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54