Page 53 - kpiebook66023
P. 53

มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม




                  รัฐมนตรีประกาศก าหนด” จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ของมูลนิธิไม่มีความขัดแย้งกันเลย กล่าวอีกนัยคือ มูลนิธิ
                  แทบจะสามารถจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้โดยอัตโนมัติ

                         อย่างไรก็ตาม ประเด็นส าคัญที่ต้องพิจารณาคือ มูลนิธิสามารถหารายได้จากการด าเนินกิจกรรม

                  ทางธุรกิจได้หรือไม่ มาตรา 110 ก าหนดว่า “โดยมิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน” และวรรคสอง
                  ก าหนดต่อว่า “การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อ
                  ด าเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง” จะเห็นว่า กฎหมายใช้ค าว่า “ผลประโยชน์” ซึ่งมี
                  ความหมายกว้าง ท าให้หมายรวมถึงการหารายได้ได้เช่นกัน แต่กฎหมายไม่ได้ระบุว่ารายได้ดังกล่าวนั้น

                  เกิดขึ้นอย่างไร หากแต่บังคับว่าจะต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ของมูลนิธิเท่านั้น กรมสรรพากรระบุว่ามูลนิธิ
                  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ โดยรายได้ที่จะต้องเสียภาษี ได้แก่ “รายได้จากการประกอบกิจการ เช่น ค่าเช่า
                  รายได้จากการจ าหน่ายสินค้าและบริการ และรายได้จากทุน เช่น ดอกเบี้ย และเงินปันผล เป็นต้น”
                                                                                                   94
                         ส่วนรายได้ที่ได้รับยกเว้น ได้แก่ ค่าลงทะเบียนหรือค่าบ ารุงจากสมาชิก เงินหรือทรัพย์สินที่ได้จาก
                  การบริจาค เงินหรือทรัพย์สินที่ได้โดยเสน่หา และเงินได้จากกิจการโรงเรียนเอกชนของมูลนิธิหรือสมาคม

                  ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นตามกฎหมาว่าด้วยโรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงเงินได้จากการขายของ การรับจ้างท าของ
                  หรือการให้บริการอื่นใดที่โรงเรียนเอกชนซึ่งเป็นโรงเรียนประเภทอาชีวศึกษาได้รับจากผู้ซึ่งมิใช่นักเรียน
                  สรุปได้ว่า มูลนิธิสามารถหารายได้จากการพึ่งพาตลาดได้แต่จะต้องอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์
                  ในทางปฏิบัติ มูลนิธิไม่ได้มีอิสระที่จะประกอบธุรกิจได้อย่างองค์กรธุรกิจ


                         กฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมก าหนดว่า วิสาหกิจเพื่อสังคมจะต้องมีรายได้จากจ าหน่าย
                  สินค้าหรือบริการไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมด หากมูลนิธิสามารถมีรายได้ตามที่ก าหนด ก็ย่อม
                  ถือว่าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่กฎหมายยังระบุต่อว่า กรณีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่ไม่ประสงค์จะ
                  แบ่งปันก าไรสามารถมีรายได้จากการด าเนินธุรกิจน้อยกว่าร้อยละ 50 ได้ ในกรณีของมูลนิธินั้นจะไม่มีการ
                  แบ่งปันก าไรอย่างแน่นอน เพราะไม่มีสมาชิกในองค์กร และทรัพย์สินของมูลนิธิถือว่าเป็นทรัพย์สินของ

                  แผ่นดิน ขอยกเว้นร้อยละ 50 นี้ แต่ใช้บังคับเฉพาะบริษัทและห้างหุ้นส่วนเท่านั้น ไม่ใช้บังคับกับมูลนิธิ
                  ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นว่ามูลนิธิจะหารายได้จากธุรกิจหรือไม่ แม้จะเป็นมูลนิธิที่พึ่งพาเงินบริจาคทั้งหมด ก็
                  น่าจะสามารถจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้

                         หากจะน าแนวคิดของวิสาหกิจเพื่อสังคมมาปรับใช้อย่างเหมาะสมแล้ว มูลนิธิที่จะสามารถจดทะเบียน
                  เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ ควรจะมีการหารายได้จากการประกอบกิจการด้วยบางส่วน ซึ่งอาจมีการก าหนด

                  สัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 50 ได้ และสมควรได้รับความช่วยเหลือภายใต้กฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
                  แต่มูลนิธิแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาเพียงเงินบริบาคหรือเงินช่วยเหลือบางรัฐ ไม่ควรได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน
                  เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เพราะก็จะเหมือนเป็นเพียงการหาแหล่งรายได้จากหน่วยงานรัฐแห่งใหม่เท่านั้น

                  ไม่ได้ถือว่าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมจริง

                         ตัวอย่างของมูลนิธิที่ประสบความส าเร็จในฐานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพราะมีการสร้างรายได้จาก
                                                                                               95
                  การประกอบกิจการและช่วยเหลือสังคม เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์  ซึ่งมีธุรกิจ

                  94  กรมสรรพากร. (n.d.). การเสียภาษีเงินได้ของมูลนิธิหรือสมาคม. https://www.rd.go.th/44185.html    38
                  95  https://www.maefahluang.org/
   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57   58