Page 52 - kpiebook66023
P. 52

มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม




                  ใหม่เป็นการบริการ หรือมีการด าเนินงานในต่างประเทศ กรณีเช่นนี้ควรจะต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจนตามที่
                  ประกาศก าหนดเพื่อป้องกันการน าเงินก าไรไปใช้นอกขอบวัตถุประสงค์เพื่อสังคม


                  4.3 วิสำหกิจเพื่อสังคมในรูปแบบมูลนิธิ
                         ผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมที่ต้องการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมในรูปแบบของมูลนิธิ จะต้องทราบ

                  ก่อนว่าการจะขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้นั้น จะต้องมีการด าเนินกิจการภายใต้รูปแบบองค์กร
                  นั้นมาก่อนอย่างน้อย 1 ปีตาม “ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เรื่อง ระยะเวลาด าเนิน
                  กิจการในการขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562” ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หลังจากนั้นจึง
                  ต้องศึกษาวิธีการจัดตั้งมูลนิธิ โดยกฎหมายหลักที่ก ากับดูแลมูลนิธิในประเทศไทย ได้แก่ ประมวลกฎหมาย

                  แพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 110-136 ประเด็นส าคัญที่จะศึกษาในหัวข้อนี้ จะเกี่ยวข้องกับ
                  องค์ประกอบหลักของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ก าหนดในพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อ
                  วิเคราะห์ข้อจ ากัดของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่เกิดขึ้นจากการด าเนินงานภายใต้รูปแบบนิติบุคคลประเภทมูลนิธิ

                  และเพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขในบทต่อไป
                                   93
                         มาตรา 110  แห่ง ป.พ.พ. เป็นหัวใจส าคัญของมูลนิธิ โดยกฎหมายได้ก าหนดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
                  ของมูลนิธิและการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ กล่าวคือ มูลนิธิจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อ “การกุศล
                  สาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดย
                  มิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน” เท่านั้น จะเห็นว่าข้อความดังกล่าวสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับ

                  ผลประโยชน์ส่วนรวม (General Interest) ที่ได้ศึกษาไว้ในบทที่ 2 อย่างชัดเจน และยังเป็นการก าหนด
                  เงื่อนไขในลักษณะเดียวกันกับสถานะการเป็นองค์กรการกุศล (charitable status) ของสหราชอาณาจักร
                  ด้วย อย่างไรก็ตาม ในทางแนวคิดวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ศึกษาไปนั้น องค์กรไม่แสวงหาก าไรแบบดั้งเดิมเช่น
                  มูลนิธิ ยังไม่ถือว่าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่หากมูลนิธิมีการหารายได้ที่พึ่งพาตลาดมากขึ้น จะถือว่าเป็น

                  วิสาหกิจเพื่อสังคมได้ ในขณะที่การเกิดขึ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคมของประเทศไทยนั้น เป็นการน าเอา
                  รูปแบบองค์กรดั้งเดิมมาจดทะเบียนขอรับสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่จะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ตาม
                  แนว คิดที่มีการศึกษาไว้หรือไม่ จะต้องวิเคราะห์ว่า กฎหมายไทยเปิดช่องให้มูลนิธิสามารถหารายได้จากการ
                  ด าเนินธุรกิจหรือไม่ เพียงใด ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะเกิดค าถามว่า มูลนิธิที่มีสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม

                  แตกต่างจากมูลนิธิแบบดั้งเดิมอย่างไร

                         หากเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์เพื่อสังคมตามมาตรา 5(1) แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
                  “มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการจ้างงานแก่บุคคลผู้สมควรได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ การแก้ไขปัญหา
                  หรือพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่นหรือคืนประโยชน์ให้แก่สังคมตามที่






                  93  ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 110 มูลนิธิได้แก่ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะส าหรับวัตถุประสงค์เพื่อ
                  การกุศล สาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่ง
                  หาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน และได้จดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
                         การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อด าเนินการตาม  37
                  วัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57