Page 55 - kpiebook66023
P. 55
มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
บทบาทและหน้าที่ของกฎหมายที่ส าคัญประการหนึ่งคือ การอ านวยความสะดวกและตอบสนอง
ความต้องการของผู้ประกอบการเพื่อสังคมเหล่านี้ แต่ปัจจุบันกฎหมายบริษัทไม่ได้มีทางเลือกให้กับวิสาหกิจ
100
เพื่อสังคมมากนัก มาตรา 1012 แห่ง ป.พ.พ. คือหัวใจหลักของกฎหมายบริษัทและห้างหุ้นส่วน ซึ่ง
สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทและห้างหุ้นส่วนจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาก าไรและแบ่งปันก าไร แนวคิดเกี่ยวกับการ
แสวงหาก าไรสูงสุดของบริษัท (profit maximisation) อยู่คู่กับบริษัทมาอย่างช้านานจนบางครั้งเหมือนเป็น
เรื่องแปลกที่บริษัทจะช่วยเหลือสังคม หรือคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมไม่แตกต่างจากการ
ท า CSR นอกจากนี้ ไม่มีมาตราใดเลยของกฎหมายบริษัทที่พูดถึงกิจกรรมทางสังคม แต่การที่กฎหมายไม่ได้
ระบุไว้อย่างชัดเจน ไม่ได้หมายความว่าท าไม่ได้ ดังนั้น แม้แต่บริษัทแบบดั้งเดิมที่เน้นการแสวงหาก าไรสูงสุด
ก็สามารถมีเป้าหมายเพื่อสังคมได้ แต่อาจจะต้องน าแนวทางการบริหารงานทางธุรกิจมาใช้เพื่อสื่อสารกับ
สังคมภายนอก
การที่บริษัทได้รับการจดทะเบียนสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมก็เป็นแนวทางในการสื่อสาร
เป้าหมายเพื่อสังคมวิธีการหนึ่ง โดยมีส านักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นผู้ตรวจสอบวัตถุประสงค์
เพื่อสังคมดังกล่าว แต่ก็ตรวจสอบได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้สามารถเข้าไปควบคุมการบริหารงาน
ภายในบริษัทได้ทั้งหมด เพราะการบริหารจัดการบริษัทอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายบริษัทเป็นหลัก
อาจกล่าวอีกนัยคือ การให้สถานะความเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมแก่บริษัทเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทาง แต่
ไม่ได้เป็นการควบคุมปัญหาที่ต้นทาง เช่น ประเด็นที่กฎหมาย B Corp ของสหรัฐอเมริกาให้ความส าคัญ คือ
การก าหนดหน้าที่ตามกฎหมายของกรรมการบริษัทว่าจะต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์เพื่อสังคม ก็เป็นแนวทางการแก้ปัญหาในส่วนที่เป็นการควบคุมผู้ที่มีอ านาจตัดสินใจในบริษัท
กฎหมายวิสาหกิจเพื่อสังคมของประเทศไทยที่เข้าไปควบคุมการจัดการภายในบริษัทจะมีเพียง
การจ ากัดสัดส่วนของก าไรที่จะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 30 ของก าไร หรือไม่ให้มีการแบ่งปันก าไร
เลยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายบริษัท แต่เป็นการก าหนดข้อยกเว้นของกฎหมาย
บริษัทไว้ในกฎหมายวิสาหกิจเพื่อสังคมแทน โดยสรุปแล้ว ไม่ได้มีอะไรที่เป็นการพัฒนากฎหมายบริษัทเพื่อ
ช่วยเหลือหรืออ านวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมอย่างชัดเจน ผู้เขียนเห็นว่า การเป็น
วิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น ไม่ควรดูเพียงแค่ปลายทางว่ามีสัดส่วนก าไรที่ให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นเท่าใด แต่ควรดู
ที่ปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น การบริหารจัดการภายในองค์กรที่ให้ความส าคัญกับผู้มีส่วนได้เสีย การประเมินผล
กระทบและผลลัพธ์ทางสังคม หรือการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่แตกต่างกันไป เป็นต้น
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ไม่ได้จดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่เป็นบริษัทที่ดูแลผู้มีส่วนได้เสีย
อย่างกว้างขวางตั้งแต่พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยบริษัท A ผลิตสินค้าที่ปลอดภัย
ต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีการจ้างงานผู้สูงอายุที่ยากจนด้วย แต่บริษัท A ไม่สามารถไปจดทะเบียน
เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพราะไม่สามารถท าตามเงื่อนไขของการจ่ายค่าตอบแทนไม่เกินร้อยละ 30 เพราะ
จ าเป็นต้องใช้เงินทุนจ านวนมากในการด าเนินธุรกิจ ในขณะที่บริษัท B สามารถจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อ
สังคมเพราะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายก าหนดไว้ทุกประการทั้งเรื่องวัตถุประสงค์เพื่อสังคมและสัดส่วน
การจัดสรรก าไร แต่บริษัท B มีจ านวนเงินทุนน้อยเพราะส่วนใหญ่นักลงทุนยังต้องการผลตอบแทนการ
100 ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1012 อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคล 40
ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระท ากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันก าไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ท านั้น