Page 57 - kpiebook66023
P. 57
มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
บทที่ 5
ข้อเสนอแนะทำงกฎหมำยและนโยบำย
5.1 ข้อเสนอแนะทำงกฎหมำย
(1) มาตรา 5(1) ประกอบ ประกาศส านักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ก าหนดลักษณะของกิจการที่มี
วัตถุประสงค์หลักเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่นหรือคืนประโยชน์ให้กับสังคม พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นการขยายความ
ว่ากิจกรรมใดบ้างที่ถือว่าเป็นวัตถุประสงค์เพื่อสังคม
ควรจะต้องมีการเพิ่มรายละเอียดของวัตถุประสงค์ทางสังคมขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรูปแบบการด าเนิน
กิจกรรมเพื่อสังคมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุค
สมัย ท าให้ก็จะต้องมาการออกประกาศใหม่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ จะเห็นว่า ประกาศเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
เพื่อสังคมนี้อยู่ภายใต้ “ประกาศส านักนายกรัฐมนตรี” ในขณะที่ประกาศอื่น ๆ เป็น “ประกาศ
คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม” แม้ว่าจะเป็นเหตุผลทางกฎหมาย แต่ก็อาจสร้างความสับสน
ให้กับประชาชนในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวิสาหกิจเพื่อสังคมได้
ดังนั้น จึงควรมีการพิจารณาการน าแนวทางการทดสอบวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเช่นเดียวกับของ
สหราชอาณาจักร ที่เรียกว่า Community Interest Test มาปรับใช้ ประกอบกับการใช้ดุลยพินิจของ
ผู้ก ากับดูแลวิสาหกิจเพื่อสังคม
(2) มาตรา 5(2) ประกอบ ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เรื่อง การจดทะเบียน
เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมส าหรับกิจการที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันก าไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ซึ่งมี
รายได้น้อยกว่าร้อยละห้าสิบมาจากการจ าหน่ายสินค้าหรือการบริการ พ.ศ. 2565
สัดส่วนรายได้จากการจ าหน่ายสินค้าและบริการร้อยละ 50 มีความเหมาะสมแล้ว แต่ส าหรับ
วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทที่ประสงค์จะไม่แบ่งปันก าไร ซึ่งจะได้รับข้อยกเว้นตามมาตรา 5(2) นี้ ก็ควรมี
การก าหนดสัดส่วนที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น อาจก าหนดให้มีสัดส่วนร้อยละ 20 ส าหรับรูปแบบบริษัทและห้าง
หุ้นส่วน และร้อยละ 10 ส าหรับรูปแบบมูลนิธิ สมาคม และสหกรณ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะจัดตั้งในรูปแบบองค์กรใดก็ตาม เงื่อนไขในเรื่องการหารายได้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง
ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่ควรพิจารณาให้มีการก าหนดสัดส่วนที่อาจแตกต่างไปตาม
รูปแบบของนิติบุคคล หรือพิจารณาจากรูปแบบกิจกรรมหรือผลการด าเนินงานขององค์กรก็ได้ ดังนั้น จึงไม่
ควรอนุญาตให้วิสาหกิจเพื่อสังคมไม่จ าเป็นต้องหารายได้จากการประกอบธุรกิจเลย โดยเฉพาะบริษัทที่ไม่
แบ่งปันก าไร ถ้าไม่มีรายได้จากการท าธุรกิจเลยย่อมไม่แตกต่างอะไรจากองค์กรไม่แสวงหาก าไร และการ
แบ่งปันก าไร และการหารายได้จากกิจกรรมทางธุรกิจเป็นประเด็นที่แตกต่างกัน
(3) มาตรา 5(3) ประกอบ ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เรื่อง เงื่อนไขการน าผล
ก าไรไปใช้เพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ว่าด้วยสัดส่วนของการแบ่งปันก าไรให้กับผู้เป็นเจ้าของกิจการและผู้ถือหุ้น
ไม่เกินร้อยละ 30 ของก าไร และร้อยละ 70 จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อสังคม 42