Page 39 - kpiebook65021
P. 39

โครงการการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านสิทธิและการมีส่วนร่วมแก่ประชาชน:  กรณีศึกษาการพัฒนานโยบายจากภาคประชาชน จังหวัดจันทบุรี





                     ทั้งนี้ กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมได้ให้ความส าคัญกับ “การสร้าง
              ความเกี่ยวข้องของพลเมือง (citizen involvement)” เนื่องจากความเกี่ยวข้องของพลเมืองน าไปสู่

              ความสัมพันธ์แบบผูกมัดร่วมกัน (commitment) ระหว่างพลเมืองและรัฐ (Molokwane & Lukamab, 2018,
              p.194 อ้างถึงใน ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์, และสมเกียรติ นากระโทก, 2563, น.43) ซึ่งความสัมพันธ์
              เช่นนี้จะเกิดได้ต่อเมื่อภาครัฐเปิดโอกาสให้พลเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอหรือปกป้องผลประโยชน์ของ

              ตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการจัดท าแผนหรือจัดท านโยบายการเข้ามามีส่วนร่วม
              ซึ่งจะช่วยท าให้พลเมืองเกิดความเข้าใจในกระบวนการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น (Marzuk, 2015, p.22 อ้างถึงใน

              ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์, และสมเกียรติ นากระโทก, 2563, น.43)

                     ดังนั้น กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมจึงต้องมีการออกแบบให้เหมาะสม
              เพื่อกระตุ้นให้พลเมืองสามารถเข้ามาเกี่ยวข้องและสร้างความผูกพัน (engagement) หากจัดการ

              กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะไม่ดีอาจมีแนวโน้มหรืออาจน าไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างรัฐ
              และพลเมืองได้ นโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นผลผลิตของกระบวนการพัฒนานโยบาย อันเกิดจาก

              การเริ่มต้น โดยมีพลเมืองเป็นหุ้นส่วนร่วมกับภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ ทั้งนี้ หัวใจส าคัญ
              ของนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม คือ พลเมืองมี “ความผูกพัน” ในฐานะ “เจ้าของนโยบาย” จะเห็นได้ว่า

              หากปราศจากความผูกพันของพลเมือง การมีส่วนร่วมก็จะไม่มีความหมาย (ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์,
              และสมเกียรติ นากระโทก, 2563, น.44) ความเป็นพลเมืองถือว่ามีความส าคัญแต่บางครั้งความหมายและ
              หน้าที่ของพลเมืองก็ห่างไกลจากความต้องการของพลเมือง แต่ด้วยวิกฤตความชอบธรรมและความไร้

              ประสิทธิภาพทางการบริหารงานก็ท าให้พลเมืองจากเดิมอาจจะเคยเป็นผู้รับหรือผู้ถูกกระท า (Object) เปลี่ยน
              มาเป็นผู้ด าเนินการหรือผู้กระท า (Subject) มากขึ้น ผ่านการตั้งค าถาม ริเริ่ม หรือก าหนดทิศทาง (Karkin,

              2011, p.11)

                     นอกจากนี้ คุณค่าของการน ากระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมมาใช้เพื่อการ
              ส่งเสริมประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล โดยสามารถสรุปสาระส าคัญ ดังนี้


                     1) เป็นการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่มีส านึกผูกพันต่อการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นการส่งเสริมและพัฒนา
              ให้พลเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องผูกพันกับนโยบายสาธารณะ ภายใต้หลักการพลเมืองเป็นศูนย์กลางในการก าหนด

              นโยบาย (citizen as the center of policy-makers) โดยเป็นการศึกษาการมีชีวิตสาธารณะ (public life)
              และการพัฒนาความรู้สึกความเป็นพลเมือง (Holmes, 2011, p.1 อ้างถึงใน ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์,
              และสมเกียรติ นากระโทก, 2563, น.49)


                     2) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการภาครัฐ ซึ่งการจัดกระบวนการมีส่วนร่วมจะช่วยกระตุ้น
              ให้พลเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องผูกพันกับกระบวนการก าหนดนโยบาย และมีความเข้าใจกระบวนการท างานของรัฐ
              ที่จะตอบสนองต่อความต้องการของพลเมือง อีกทั้ง ภาครัฐที่มีอ านาจหน้าที่ในการน าโยบายไปปฏิบัติก็จะมี

              ความเกี่ยวข้องผูกพันกับพลเมืองมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคพลเมืองและภาครัฐ
              ในกระบวนการบริหารกิจการบ้านเมือง (Sidor, 2012, p.88 อ้างถึงใน ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์, และ







                                                          14
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44