Page 37 - kpiebook65021
P. 37
โครงการการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านสิทธิและการมีส่วนร่วมแก่ประชาชน: กรณีศึกษาการพัฒนานโยบายจากภาคประชาชน จังหวัดจันทบุรี
มาตรา 253 ในการด าเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เปิดเผยข้อมูลและรายงานผลให้ประชาชน
ทราบ และมีกลไกให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมด้วย ทั้งนี้ ในเรื่องของการเมืองการปกครอง การบังคับใช้
กฎหมาย การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ ล้วนส่งผลกระทบต่อการด ารงชีวิตของประชาชนทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติถึงสิทธิ
ในการมีส่วนร่วมของประชาชน หากแต่ยังคงมีความท้าทายในทางปฏิบัติ สิทธิดังกล่าวอาจจะมีการน าไป
ปฏิบัติในการแสดงความคิดเห็น การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน แต่อาจจะยังไม่ครอบคลุมถึง
การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสิทธิและการมีส่วนร่วมพัฒนานโยบายจากภาคประชาชนได้อย่างเห็นผล
เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ จึงจ าเป็นต้องหาแนวทางหรือวิธีการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน
และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม
หน้าที่หลักของนโยบายสาธารณะคือการก าหนดรูปแบบสังคมหรือก าหนดอนาคตเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
เมื่อก าหนดนโยบายแล้วจะถูกน าไปด าเนินการต่อโดยหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ การพัฒนานโยบายไปจนถึง
การน านโยบายไปปฏิบัติยังถูกกระทบได้จากปัจจัยภายในและภายนอก (Kaur, 2018, p.1) ส าหรับการพัฒนา
นโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม (Participatory Public Policy) เป็นแนวคิดที่แตกต่างจากแนวคิดการมีส่วน
ร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะ (participation in public policy) หมายถึง การมีส่วนร่วมในนโยบาย
ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของสาธารณะในกระบวนการนโยบาย โดยรัฐเป็นผู้ก าหนด เพื่อสร้าง
ความชอบธรรมในกระบวนการพัฒนานโยบายจึงให้สาธารณะ (public) หรือประชาชน (people) เข้ามามีส่วนร่วม
ในการปรึกษาหารือ ให้ข้อมูล ให้ความเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจ ขณะเดียวกัน นโยบายสาธารณะแบบ
มีส่วนร่วมเป็นการมีส่วนร่วมของพลเมืองในฐานะเจ้าของนโยบายหรือหุ้นส่วนทางนโยบาย ตั้งแต่ขั้นตอนใน
การเริ่มก่อตัวนโยบาย (policy formation) (ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์, และสมเกียรติ นากระโทก, 2563,
น.39) การพัฒนานโยบายสาธารณะต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นสาธารณะ รัฐที่เป็นประชาธิปไตย
ไม่อาจก าหนดนโยบายที่สวนทางกับความต้องการหรือความคิดเห็นของสาธารณะได้ และการมีส่วนร่วมจะช่วยให้
นโยบายที่ก าหนดร่วมกันถูกน าไปปฏิบัติได้อย่างดี (Kaur, 2018, p.3)
การให้ความส าคัญกับพลเมืองในการพัฒนานโยบายสาธารณะนี้สอดคล้องกับ Karkin ที่กล่าวว่ามี
ความจ าเป็นอย่างมากที่ต้องตรวจสอบความต้องการของประชาชนเกี่ยวกับการบริหารสาธารณะในแบบสอง
ทาง ทั้งในเชิงสิทธิมนุษยชน และเชิงสิทธิพลเมือง ในเชิงสิทธิมนุษยชนแล้วถือว่าแค่ความเป็นมนุษย์ก็เพียงพอ
แล้วต่อความต้องการให้เกิดการบริการสาธารณะ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจะปฏิเสธการบริการสาธารณะต่อ
มนุษย์ เช่น บริการทางสุขภาพ การคุ้มครองให้เกิดความปลอดภัย โดยไม่มีข้อจ ากัดทางเชื้อชาติ ความต้องการ
ชนิดนี้ เกี่ยวข้องอย่างสูงกับความเป็นมนุษย์และหลักการความฉุกเฉิน (Principle of emergency)
ที่ครอบคลุมด้วยหลักคิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่ในเชิงสิทธิพลเมืองเป็นสิทธิในการได้รับการส่งเสริมบริการ
สาธารณะที่มีความหมายพื้นฐานรับรองต่อความเป็นพลเมืองของรัฐ กรณีนี้ถือว่าถูกรับรองด้วยหลักการของ
ความเท่าเทียมมากกว่าหลักการความฉุกเฉิน หลักความเท่าเทียมจึงเป็นหลักคิดที่สูงขึ้นมาซึ่งรัฐอาจต้องฝึกฝน
ในทางปฏิบัติ ผ่านการใช้เครื่องมือทางการบริหารด้วยอ านาจที่ชอบธรรมซึ่งกระท าการโดยสถาบันต่าง ๆ ทาง
สังคม (Karkin, 2011, pp.9-10)
12