Page 9 - kpiebook64015
P. 9
การจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อลดปัญหาความได้เปรียบสองชั้นของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ใน
ขณะเดียวกัน ยังได้ลดสัดส่วนการจัดสรรเงินโดยอาศัยเกณฑ์สมาชิกพรรคและสาขาพรรคลงเหลือเพียงร้อยละ 10
ทั้งสองเกณฑ์ เพื่อแก้ปัญหาการอาศัยการตั้งพรรคการเมืองเป็นช่องทางหารายได้ของคนบางกลุ่ม อ ย่ า งไร ก็ ต า ม
ความพยายามในการแก้ไขปัญหาโดยการวางหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินแก่พรรคการเมืองดังกล่าวยังไม่สามารถ
บรรลุผลตามอุดมคติของแนวคิดในการสนับสนุนทางการเงินโดยรัฐแก่พรรคการเมืองได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในแง่
ที่ว่าการกำหนดเกณฑ์การสนับสนุนพรรคการเมืองจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองซึ่งเป็นเงินที่มาจากเงิน
ภาษีอากรของประชาชนนั้น จะต้องครอบคลุมถึงเกณฑ์มาตรฐานที่มุ่งพัฒนาให้พรรคการเมืองทั้งพรรคขนาดใหญ่
พรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็กได้รับโอกาสรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนอย่างเป็นธรรม กล่าวคือ
พรรคการเมืองขนาดใหญ่สามารถทำหน้าที่ทางการเมืองของตนโดยไม่ถูกครอบงำจากกลุ่มทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
โดยเฉพาะ ส่วนพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กก็มีโอกาสสร้างความเข้มแข็งจนสามารถเป็นพรรคขนาด
ใหญ่ หรือมีโอกาสเป็นรัฐบาลได้ ดังผลการศึกษาของสติธร ธนานิธิโชติ (2556: 137-138) ที่พบว่า ในจำนวนพรรค
การเมืองที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ในช่วง พ.ศ. 2542–2555 รวม 81 พรรค
นั้น พรรคการเมือง (ขั้วการเมือง) สองพรรคใหญ่คือพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย (รวมกับพรรคพลัง
ประชาชนและพรรคไทยรักไทย) ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง รวมกันเกือบ
ร้อยละ 60 ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นอีก 79 พรรค ได้รับงบประมาณรวมกันประมาณร้อยละ 40 เท่านั้น
สภาพปัญหาดังกล่าวเมื่อรวมกับปัญหาเดิมๆ ที่ยังดำรงอยู่ทั้งในเรื่องการระดมหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ
และการจัดตั้งสาขาพรรคเพียงเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การดำรงสถานะและได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการ
พัฒนาพรรคการเมือง ส่งผลให้ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงได้
เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองอีกครั้ง โดยกำหนดไว้ในระเบียบ
คณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ข้อ 28 ดังนี้
(1) เงินที่ได้รับจากกรมสรรพากรตามมาตรา 69 ที่มีผู้เสียภาษีเงินได้ซึ่งมิใช่นิติบุคคลแสดงเจตนาในแบบ
แสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ให้รัฐนำเงินที่ตนได้เสียภาษีไว้ไปอุดหนุนพรรคการเมืองที่ตนระบุ
พรรคใดพรรคหนึ่งปีละห้าร้อยบาท
(2) ร้อยละ 40 ของวงเงินจัดสรรนอกจาก (1) ให้จัดสรรให้ตามจำนวนเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองที่พรรค
การเมืองได้รับ โดยแต่ละพรรคการเมืองให้ได้รับตามอัตราส่วนระหว่างจำนวนเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองที่ทุกพรรค
การเมืองได้รับรวมกันในปีที่ผ่านมาต่อจำนวนเงินค่าบำรุงที่พรรคการเมืองนั้น ๆ ได้รับมาในปีที่ผ่านมา แต่เงินที่
จัดสรรให้ต้องไม่เกินเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองนั้นได้รับจากสมาชิกในปีที่ผ่านมา
(3) ร้อยละ 40 ของวงเงินจัดสรรนอกจาก (1) ให้จัดสรรให้ตามคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับจากการ
เลือกตั้งทั่วไปสำหรับปีถัดจากปีที่มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยแต่ละพรรคการเมืองให้ได้รับตามอัตราส่วนระหว่างคะแนน
เสียงที่ทุกพรรคการเมืองได้รับรวมกันต่อคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองนั้นได้รับ สำหรับปีอื่นให้จัดสรรให้พรรค
9