Page 24 - kpiebook64015
P. 24
2000 แล้วพรรคการเมืองทุกพรรคมีหน้าที่ที่จะต้องแสดงการใช้จ่ายทุกสองสัปดาห์ของพรรคให้เป็นที่รับทราบ และ
ทุกสัปดาห์ในกรณีที่อยู่ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง และรวมถึงการกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายในการหาเสียง
เลือกตั้งของพรรคการเมือง ที่ตามมาด้วยการออกพระราชบัญญัติ Electoral Administration Act 2006 ที่ระบุ
เพิ่มเติมจาก PPERA ให้พรรคการเมืองต้องแสดงรายการบริจาคและรายรับทั้งหมดของพรรค นอกจากนี้กฎหมายยัง
ระบุให้พรรคการเมืองสามารถรับเงินบริจาคทั่วไปได้ไม่เกิน 200 ปอนด์ ส่วนเงินบริจาคที่มากกว่า 200 ปอนด์
จะต้องเป็นเงินสามารถบอกรายละเอียดที่มาได้ตามที่กฎหมาย PPERA กำหนด ซึ่งเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่
จะต้องตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว เช่น เป็นเงินของบุคคลที่มีรายชื่อในทะเบียนและมีสิทธิเลือกตั้งในสหราช
อาณาจักร จากบริษัทที่จัดตั้งในสหราชอาณาจักร จากพรรคการเมืองหรือสหภาพในสหราชอาณาจักร ฯลฯ ดังนั้น
เงินบริจาคที่มีที่มาจากต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่กฎหมาย PPERA ระบุห้าม นอกจากนี้ แม้ว่าพรรคการเมืองขนาดเล็ก
จะมีปัญหาในทางปฏิบัติที่จะมีศักยภาพเพียงพอที่จะดำเนินการตามกฎหมาย PPERA ได้ ดังนั้น ในปัจจุบัน
คณะกรรมการการเลือกตั้งของสหราชอาณาจักรจึงมีหน้าที่สนับสนุนและช่วยเหลือพรรคการเมืองที่ได้รับการจด
35
ทะเบียนให้สามารถดำเนินการตามมาตรการที่ระบุไว้ใน PPERA ได้อย่างครบถ้วน
สรุปการศึกษาของ Gauja จะพบว่า การออกกฎหมายเพื่อควบคุมสถานะและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
ของพรรคการเมืองในอังกฤษเกิดขึ้นล่าช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆดังกล่าวข้างต้น นั่นคือ Representation
of the People Act 1918 และพระราชบัญญัติที่ตามมาทีหลังที่สุดในบรรดาประเทศที่เหลือ คือ Parliament
Acts, Political Parties, Elections and Referendums Act 2000 (หรือที่เรียกว่ากฎหมาย PPERA) แต่กฎหมาย
ที่ออกมาก่อนหน้านั้น ถึงแม้จะไม่ใช่กฎหมายพรรคการเมืองโดยตรงแต่มีสถานะในการควบคุมพฤติกรรมและการ
ดำเนินการของพรรคการเมือง นั่นคือ การควบคุมในมิติที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่นในกระบวนการเลือกตั้ง
ของสหราชอาณาจักรที่ปรากฏในกฎหมาย Representation of the People Act 1883 (the Corrupt Practices
Act 1883) และ Broadcasting Act 1990 ที่ระบุห้ามมิให้พรรคการเมืองใดใดทำการโฆษณาหาเสียงในโทรทัศน์
หรือวิทยุ แต่สามารถซื้อโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือแผ่นป้ายโฆษณาตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกัน ก็มี
กฎหมายอื่นๆในลักษณะนี้ที่ออกมาควบคุมพฤติกรรมและการดำเนินการของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่มุ่ง
เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่ผู้ลงคะแนนเสียงสามารถลงคะแนนเสียงได้อย่างอิสระและมีความเป็นธรรมระหว่างผู้สมัคร
แข่งขัน
จากประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรและอีกสี่ประเทศที่กล่าวไปข้างต้น ผู้วิจัยสามารถสรุปประเด็น
สำคัญๆได้ดังต่อไปนี้คือ
หนึ่ง การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการรับรองสถานะของพรรคการเมืองในประเทศเหล่านี้เป็นสิ่งที่
เกิดขึ้นช้ามาก เนื่องจากบรรดานักกฎหมายและนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนมิได้ตระหนักถึงความสำคัญของ
พรรคการเมืองที่เป็นแกนกลางและปัจจัยสำคัญในการจัดวางกลไกของระบอบการเมือง
สอง สาเหตุที่บรรดานักกฎหมายและนักวิชาการกฎหมายมหาชนไม่ได้ตระหนักให้ความสำคัญของพรรค
35 Ibid., 179.
24