Page 21 - kpiebook64015
P. 21
เป็นทางการ แม้ว่าจะมีการตั้งคำถามเกิดขึ้นภายในพรรคมากมายต่อการแต่งตั้งนายดักกลาส-โฮม (Douglas-
Home) ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากนายกฮาโรลด์ แมคมิลแลนที่ลาออกในปี ค.ศ. 1963 ก็ตาม เพราะอย่างไรก็ดี
วิธีการได้มาซึ่งหัวหน้าพรรคของพรรคอนุรักษ์นิยมที่มักเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการและเป็นระบบที่เป็นความลับ
(secretive system) ทำให้การต่อสู้ที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงภายในพรรคไม่เป็นที่รับรู้แก่สาธารณ
23
ซึ่งหากมีกฎหมายพรรคการเมือง และจะต้องมีกฎข้อบังคับและให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการเลือก
หัวหน้าพรรค แม้ว่าจะมีข้อดีดังที่ได้กล่าวไปในส่วนข้างต้นของงานวิจัยเกี่ยวกับไพรมารีโหวตและหลักการการ
ปกครองแบบผสม แต่ข้อเสียก็มีที่อาจนำซึ่งความแตกแยกภายในพรรคก็เป็นได้ หรือถ้าไม่ถึงกับแตกแยก พรรคก็
อาจจะเสียบุคคลระดับที่มีคุณสมบัติที่แข่งขันในตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปได้ นั่นคือ ผู้ที่พ่ายแพ้อาจจะลาออกไปอยู่
พรรคอื่น หรือตั้งพรรคใหม่ โดยนำสมาชิกพรรคในฝ่ายตนออกไปด้วย หากมีประเด็นเรื่องการเสียหน้าเกิดขึ้น
นอกจากนี้ กฎหมายพรรคการเมืองอาจจะทำให้สมาชิกพรรคมีบทบาทสำคัญขึ้นมา และจะทำให้หัวหน้าพรรคหรือ
บุคคลระดับนำของพรรคต้องให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรค ในขณะที่ที่ผ่านมาและในช่วงเวลานั้น หัวหน้าและ
บุคคลระดับนำของพรรคอนุรักษ์นิยมจะนิยมใช้วิธีการหาเสียงอย่างที่เคยทำกันมา (conventional wisdom) นั่น
คือ หาเสียงสนับสนุนจากนักวิชาการ ผู้สื่อข่าวการเมือง และนักเคลื่อนไหวที่นิยมแนวคิดอนุรักษ์นิยม (แต่ทั้งหมดนี้
ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรค/ผู้วิจัย) ซึ่งมีความสำคัญในแง่ของคะแนนเสียงทั่วไปในวงกว้างมากกว่าสมาชิกพรรค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกพรรคที่แข็งขันเป็นพิเศษ (party activists) ที่แม้ว่าข้อเสนอของสมาชิกเหล่านี้จะไม่ใช่ไม่มี
24
ความสำคัญ แต่มักจะไม่สอดคล้องกับจารีตของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม (traditional Conservatism) ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ในมุมกลับ ในรัฐสภา ยังมีฝ่ายต่อต้านการออกกฎหมายพรรคการเมืองด้วยเหตุผลที่ว่า กฎหมายพรรค
การเมืองอาจให้อำนาจเจ้าของพรรคการเมืองมีอำนาจในการตัดสินใจเหนือผู้สมัคร โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
หรือข้ออ้าง
25
หลังจากนั้น แม้จะมีคณะกรรมาธิการของรัฐสภาจำนวนหลายชุดที่ตระหนักถึงความสำคัญของพรรค
การเมือง เช่นกรรมาธิการ Committee on Financial Aid to Political Parties (1776) รวมถึงรายงานที่เรียกว่า
Kilbrandon report, Cmnd 4460-I (1973) ที่ระบุว่า ในการปฏิรูปโครงสร้างระบอบการเมืองของสหราช
อาณาจักรต้องพิจารณาไปที่พรรคการเมืองเป็นสำคัญ ในฐานะที่พรรคการเมืองเป็น “แรงขับเคลื่อนหลักของสถาบัน
ทางการเมือง” ที่ทำให้ต่อมาในปี ค.ศ. 1975 รัฐสภาได้ตัดสินใจจ่ายเงินอุดหนุน (short money) ให้แก่พรรคฝ่าย
ค้านทุกพรรคที่มี สส. ตั้งแต่สองคนขึ้นไปและได้รับคะแนนเสียงจากทั้งประเทศรวมกันมากกว่า 150,000 เสียง เพื่อ
สนับสนุนการทำหน้าที่ในรัฐสภาของสมาชิกสภาฝ่ายค้านทุกพรรคที่ผ่านเงื่อนไขดังกล่าว แต่กระนั้นก็ยังไม่มี
มาตรการทางกฎหมายใดใดของรัฐสภาที่จะถือเป็นการรองรับสถานะทางกฎหมายของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน
23 Justin Fisher, British Political Parties, (Hertfordshire: Prentice Hall Europe: 1996), p. 39.
24 Paul Whiteley, Patrick Seyd and Jeremy Richardson, True Blue: The Politics of Conservative Party
Membership, (Oxford: Clarendon Press: 1994), p. 31.
25 Ibid., 726.
21