Page 40 - kpiebook63032
P. 40
39
เน้นกระบวนการหล่อหลอมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political socialization) ที่พ่อแม่ปลูกฝังความนิยม
ในพรรคการเมืองที่ตนนิยมแก่ลูกตั้งแต่ในวัยเยาว์ ความภักดีที่บุคคลจะมีต่อพรรคการเมืองยอดนิยม
ของตนต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบของการเข้ากลุ่มเพื่อความนิยมพรรคเดียวกัน และ
ประสบการณ์ที่ดีจากพรรคการเมืองนั้นๆ ทฤษฎีนี้เน้นว่าจุดสำาคัญอยู่ที่พรรคการเมืองที่สั่งสมส่งทอดมา
จากอดีตของแต่ละคนจะเป็นปัจจัยหลักในการที่บุคคลจะเอียงเข้าข้างผู้นำา นโยบายพรรคการเมือง รวมทั้ง
ผู้สมัครในนามพรรคที่ตนนิยมโดยปริยาย การสังกัดพรรคจึงเป็นแบบแผนของพฤติกรรมการเลือกตั้งที่มี
เสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง
2. ตัวแบบทางสังคมวิทยา (Sociological model) ทฤษฎีตัวแบบทางสังคมวิทยานี้เชื่อมโยง
พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเข้ากับการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมที่ตนเป็นอยู่ ต่างกับทฤษฎีแรก
ที่เน้นความผู้กพันทางจิตใจและการเลี้ยงดูที่ผู้เลือกตั้งมีต่อพรรคการเมือง ทฤษฎีทางสังคมวิทยาเน้นว่า
ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้งของบุคคล คือ เพศ ชาติพันธุ์ ฐานะทางชนชั้น และ
ภูมิลำาเนาของผู้ออกเสียงแต่ละคน ทฤษฎีตัวแบบทางสังคมวิทยาเอาผลประโยชน์ของผู้เลือกตั้งมาผนวก
กับการอบรมเลี้ยงดูในคราวเดียวกัน
3. ตัวแบบการเลือกที่มีเหตุผล (Rational-choice model) ทฤษฎีนี้ต่างจาก 2 ทฤษฎีแรก คือ
พุ่งความสนใจไปที่ปัจเจกบุคคลแทนที่จะเน้นการอบรมเลี้ยงดูหรือการสังกัดกลุ่มทางสังคมของบุคคล
การลงคะแนนของแต่ละบุคคลจึงถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่มีเหตุผลของบุคคลเป็นรายๆ ไปและทางเลือก
ดังกล่าวตอบสนองต่อผลประโยชน์ของแต่ละคนเป็นหลัก การลงคะแนนในทัศนะของทฤษฎีนี้จึงเป็น
เครื่องมือที่ผู้ออกเสียงเลือกตั้งส่งสัญญาณต่อพฤติกรรมของพรรคการเมืองในระยะเวลาที่ผ่านมา
นักทฤษฎีบางคนมองว่าการออกเสียงเลือกตั้งเปรียบเสมือพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค
ทั้งหลายนั้น คือ เลือกซื้อสินค้าที่ตอบสนองผลประโยชน์ของตนมากที่สุด พรรคการเมืองที่จะเสนอขายสินค้า
ของตนได้ดีที่สุด คือ พรรคที่สามารถสร้างประเด็นการเลือกตั้งได้ติดตลาดมากที่สุด จุดอ่อนที่รุนแรง
ที่สุดที่ทฤษฎีนี้ถูกวิจารณ์ก็คือ ทฤษฎีนี้แยกปัจเจกบุคคลได้หลุดลอยออกจากบริบททางสังคมและวัฒนธรรม
ของเขาอย่างสิ้นเชิง
4. ตัวแบบอุดมการณ์หลัก (Dominant-ideology model) ทฤษฎีนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับทฤษฎี
ตัวแบบทางสังคมวิทยานั้น คือ มองว่าการลงคะแนนเสียงของบุคคลมักจะสะท้อนสถานภาพของบุคคล
ในโครงสร้างที่มีลำาดับชั้น แต่ทฤษฎีอุดมการณ์หลักให้ความสำาคัญแก่ทัศนคติที่บุคคลจะสร้างขึ้นจาก
กระบวนการของการศึกษาและสื่อสารมวลชนมากกว่าสถานะที่มาแต่กำาเนิดหรือครอบครัวและอาชีพ
กล่าวคือทฤษฎีนี้เน้นที่ความสำานึกทางการเมืองที่สร้างหรือปลูกได้จากการศึกษาและการให้ความสนใจ
ต่อการเมือง จุดอ่อนของทฤษฎีนี้ก็คือ การเหวี่ยงไปในทางตรงข้ามกับทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล
ในทฤษฎีอุดมการณ์หลักความสำาคัญของปัจเจกบุคคลถูกบดบังอย่างสิ้นเชิงโดยอุดมการณ์หลัก