Page 29 - kpiebook63013
P. 29
29
2. กำรอธิบำยด้วยปัจจัยภำยใน
แนวทางการอธิบายนี้เชื่อว่าการตัดสินใจลงคะแนนเป็นผลจากปัจจัยหรือเงื่อนไขที่เกิดขึ้นภายในตัว
ผู้ลงคะแนนเอง โดยผู้ลงคะแนนแต่ละคนนั้นเมื่อรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ แล้วสามารถคิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ตัดสินใจ
เลือกได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือสิ่งเร้าบางอย่างก็ได้ โดย
ปัจจัยภายในนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น สภาพอารมณ์ แรงจูงใจ สิ่งเร้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
ปัจจัยภายในบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีความคงที่และสามารถใช้อธิบายถึงพฤติกรรมการลงคะแนนได้อย่าง
เหมาะสม เช่น บุคลิกภาพ ความเชื่อ อุดมการณ์ เป็นต้น โดยสามารถแบ่งการอธิบายออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่
2.1 ส�านักจิตวิทยาสังคม
แนวทางนี้อธิบายพฤติกรรมการเลือกตั้งโดยให้ความสำาคัญกับปัจจัยภายใน เริ่มต้นจากนักวิจัย
ในมหาวิทยาลัยมิชิแกน อย่าง Angus Campbell Phillip E. Converse Warren Miller David E. Stokes
ได้คัดค้านแนวทางของสำานักชิคาโกที่เน้นการอธิบายโดยอาศัยปัจจัยภายนอก ข้อโต้แย้งหลักของพวกเขาคือ
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเสถียรและเปลี่ยนแปลงได้ช้า นั่นหมายความว่า หากพฤติกรรม
การเลือกตั้งขึ้นกับปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมจริง พฤติกรรมการลงคะแนนของคนก็จะต้องคงที่หรืออยู่ใน
รูปแบบเดิมหรืออย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ แต่ในโลกของความเป็นจริงผลคะแนนการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีกลับเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของคนอเมริกัน
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก (โปรดดู Neimi, Richard G. and Weisberg, Herbert F., 1984, p.12) ฉะนั้น
สำานักนี้จึงใช้แนวทางการอธิบายใหม่ว่าปัจจัยทางจิตวิทยาต่างหากที่เป็นตัวกำาหนดพฤติกรรมการเลือกตั้งของ
คน โดยใช้องค์ความรู้ด้านจิตวิทยาสังคม (Social Psychology) มาอธิบาย ตัวอย่างของปัจจัยทางจิตวิทยา
ที่สำานักนี้ใช้ศึกษา เช่น ความผูกพันต่อพรรคการเมือง ความโน้มเอียงในนโยบายหาเสียงแบบใดแบบหนึ่ง
อยู่ก่อนแล้ว ความชื่นชอบหรือผูกพันในตัวผู้สมัครลักษณะใดลักษณะหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เป็นต้น
ในกรณีของประเทศไทย ได้มีการศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งตามแนวทางนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
ในปี 2541 จุฑาทิพย์ ชยางกูร ได้ศึกษาเรื่อง อิทธิพลของโฆษณาทางการเมืองที่มีต่อทัศนคติและพฤติกรรม
ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และพบว่าประชากรส่วนใหญ่เห็นว่ามีความจำาเป็นต้องพิจารณาการโฆษณา
หาเสียงของแต่ละพรรคก่อนการเลือกตั้ง ทำาให้การโฆษณาทางการเมืองมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ลงคะแนน
(โดยพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง) กลุ่มตัวอย่างยังเห็นด้วยว่าภาพลักษณ์ของนักการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจ
ลงคะแนนเสียงของพวกเขาและเห็นว่าภาพลักษณ์ของนักการเมืองนั้นสำาคัญกว่านโยบายที่ใช้ในการหาเสียง
นอกจากนี้ยังพบว่า สื่อหาเสียงต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่มตัวอย่าง (อยู่ในระดับปานกลาง)
โดยสื่อหาเสียงที่ค่อนข้างมีอิทธิพล คือ การปราศรัยทางโทรทัศน์ การปราศรัยในที่ชุมชน และการโฆษณาทาง
โทรทัศน์ (จุฑาทิพย์ ชยางกูร, 2541, บทคัดย่อ)
ในปี 2543 บันลือศักดิ์ แสงสว่าง ได้ศึกษาเรื่อง กระบวนการสร้างภาพทางการเมืองของผู้สมัคร
รับเลือกตั้ง: ศึกษาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2543 โดยงานวิจัยดังกล่าวได้ข้อสรุปว่าการรณรงค์