Page 27 - kpiebook63013
P. 27

27








                          1. กำรอธิบำยจำกปัจจัยภำยนอก


                          แนวทางการอธิบายนี้เชื่อว่าการตัดสินใจลงคะแนนเป็นผลมาจากปัจจัยหรือเงื่อนไขภายนอกตัว
                  ผู้ลงคะแนน ซึ่งปัจจัยภายนอกนั้นสามารถส่งผลต่อทัศนคติ วิธีคิด วิถีชีวิต ของผู้ลงคะแนนเป็นอย่างมาก ประกอบกับ

                  ปัจจัยภายนอกดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ลงคะแนนไม่สามารถกำาหนดหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่ายนัก เช่น ระดับ
                  การศึกษา อาชีพ รายได้ ช่วงอายุ เป็นต้น และด้วยเหตุที่ปัจจัยภายนอกค่อนข้างมีความคงที่จึงทำาให้การอธิบาย

                  พฤติกรรมการลงคะแนนโดยยึดโยงกับปัจจัยภายนอกสามารถใช้อธิบายได้ในระยะเวลาที่ยาวนาน โดยสามารถ
                  แบ่งการอธิบายออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่


                          1.1 การอธิบายโดยใช้สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม


                          แนวทางนี้อธิบายว่าการกระทำาของปัจเจกบุคคลตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยภายนอกด้านเศรษฐกิจ

                  และสังคม โดยมีสมมติฐานว่าพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของคนแต่ละคนย่อมได้รับอิทธิพลจากสถานภาพ
                  ทางเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลคนนั้น โดยมีงานวิจัยชิ้นสำาคัญของ Charles E. Merriam และ Harold

                  F. Gosnel ยืนยันข้อสรุปดังกล่าว กล่าวคือ คนที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมใกล้เคียงกันจะมีทัศนะ
                  ความคิดเห็นทางการเมืองใกล้เคียงกันด้วย ทำาให้การลงคะแนนเสียงของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

                  โดยตัวแปรที่แนวทางใช้ในการศึกษาอธิบาย ได้แก่ เพศ เชื้อชาติ ระดับการศึกษา ระดับรายได้ อาชีพ
                  ถิ่นที่อยู่อาศัย ช่วงอายุ เป็นต้น (Merriam, Charles E. and Gosnel, Harold F., 1924)


                          ในกรณีของประเทศไทย งานวิจัยของนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ที่ยึดถือแนวทางการอธิบายรูปแบบนี้

                  มีอยู่เป็นจำานวนมาก โดยงานชิ้นบุกเบิกและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง คือ การศึกษาการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
                  พ.ศ.2522 โดย สุจิต บุญบงการ และ พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว โดยผู้ศึกษาค้นพบว่าถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้ลงคะแนน

                  (ซึ่งเป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจและสังคม) มีผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนน นั่นคือ ประชากรที่อาศัยในชนบท
                  มีแนวโน้มออกไปใช้สิทธิลงคะแนนมากกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ หรือ เพศ มีผลต่อพฤติกรรม

                  การเลือกตั้ง นั่นคือ เพศชายใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกตัวผู้แทนได้เร็วกว่าเพศหญิง หรือ ช่วงอายุมีผลต่อ
                  พฤติกรรมการเลือกตั้ง กล่าวคือ ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวถึงวัยกลางคนมักเลือกตั้งโดยพิจารณาไปที่พรรคมากกว่า

                  ตัวบุคคล เป็นต้น (โปรดดู สุจิต บุญบงการและพรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2526)


                          ในปี พ.ศ.2535 มีงานวิจัยของ นัฐพงศ์ สุขวิสิฎฐ์ ที่ทำาการศึกษาเหตุผลของการลงคะแนนเสียง
                  เลือกตั้ง ศึกษาเฉพาะกรณีเขต ๑ จังหวัดนครราชสีมา และได้มีข้อค้นพบที่ยืนยันถึงความสำาคัญของฐานะทาง

                  เศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลต่อการลงคะแนนเสียง นั่นคือ บุคคลที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมเหมือนกัน
                  จะมีพฤติกรรมการเลือกตั้งไปในทางเดียวกัน ในกรณีดังกล่าว พบว่าบุคคลที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง

                  จะไปลงคะแนนเสียงอย่างมีจิตสำานึกทางการเมืองและคำานึงถึงพรรคเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ ในขณะที่บุคคล
                  ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมตำ่าจะไปลงคะแนนเสียงในเชิงประเพณีและยึดตัวบุคคลเป็นเกณฑ์ตัดสินใจ

                  (นัฐพงศ์ สุขวิสิฎฐ์, 2535, บทคัดย่อ)
   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32