Page 53 - kpiebook63010
P. 53
52 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 กรุงเทพมหานคร
ผู้อุปถัมภ์อาจจะไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ถืออำานาจรัฐ แต่ก็สามารถหยิบยื่นการอุปถัมภ์ให้ได้ เพราะการเกิดระบบอุปถัมภ์
เกิดขึ้นมาโดยตลอด ไม่ได้เกิดเฉพาะเมื่อผู้อุปถัมภ์นั้นเข้าสู่อำานาจรัฐแล้ว (เพิ่งอ้าง) โดยระบบอุปถัมภ์
ทางการเมืองนั้นนอกจากจะพิจารณาในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์ในระดับท้องถิ่นกับ
ผู้ลงคะแนนเสียงแล้ว ยังสามารถพิจารณาในระดับพรรคที่ปฏิบัติการในระดับชาติได้ด้วย รวมทั้งยังสามารถ
พิจารณาระบบเผด็จการที่อาศัยการเลือกตั้งในการอยู่ในอำานาจต่อไปก็ได้
ความแตกต่างระหว่างระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองในการเลือกตั้ง กับการเมืองเรื่องการกระจายฯ
ในแบบอื่นก็คือ การเมืองแบบเน้นพื้นที่แบบไม่เท่าเทียม (pork barrel politics) ตรงที่ระบบเน้นพื้นที่
ไม่เท่าเทียมนั้น นักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะเอางบประมาณที่ได้จากภาษีของคนทั้งประเทศมาลงในพื้นที่
ของตัวเองเป็นหลัก เพื่อให้ได้ประโยชน์มุ่งเน้นในพื้นที่นั้นมากกว่าพื้นที่อื่น ขณะที่การเมืองแบบกระจายด้วย
โครงการ (programmatic redistribution) นั้นจะเป็นการเมืองแบบที่พรรคที่เป็นรัฐบาลนั้นจะเน้นการสร้าง
โครงการที่เน้นช่วยคนบางชนชั้นเป็นพิเศษ โดยการกระจายในแบบนี้นั้นจะเป็นการกระจายความมั่งคั่งไปให้
กลุ่มคนหนึ่งที่จะได้ประโยชน์ โดยเอามาจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์เพราะไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบาย
ดังกล่าว ขณะที่การเมืองของการกระจายความมั่งคั่งแบบระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองนั้น เน้นไปที่เรื่องของการที่
ผู้รับการอุปถัมภ์นั้นจะต้องให้การสนับสนุนทางการเมืองกับผู้อุปถัมภ์ (เพิ่งอ้าง) ซึ่งในแง่นี้ระบบอุปถัมภ์
ทางการเมืองโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอาจไม่จำาเป็นจะต้องเป็นระบบอุปถัมภ์เต็มพื้นที่หรือเฉพาะเจาะจง
ไปที่ชนชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่อาจจะได้ในพื้นเฉพาะที่เห็นผล
อีกมิติที่สำาคัญในเรื่องของระบบอุปถัมภ์กับการเมืองก็คือระบบอุปถัมภ์นั้นเป็นเรื่องของความสัมพันธ์
ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ใต้อุปถัมภ์ (patron-client relationships) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย
ที่เป็นพันธมิตรกัน แต่เป็นพันธมิตรกันในแบบไม่เท่าเทียมแบบแนวดิ่ง คือมีความเหนือกว่าและอยู่ภายใต้
และเป็นความสัมพันธ์ที่จะต้องพบปะกันแบบใกล้ชิด (face-to-face) มีมิตรภาพซึ่งกันและกันโดยต่างฝ่ายต่างใช้
ความสัมพันธ์นี้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งกันและกัน โดยฝ่ายผู้อุปถัมภ์ซึ่งมีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่เหนือกว่า
จะใช้อิทธิพลและทรัพยากรในการให้ความคุ้มครองและผลประโยชน์ต่อผู้ใต้อุปถัมภ์ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจ
และสังคมที่ด้อยกว่า และผู้ใต้อุปถัมภ์จะตอบแทนด้วยการแลกเปลี่ยนผ่านการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ
แก่ผู้อุปถัมภ์ (Scott, 1972) และด้วยการตั้งคำาถามกับลักษณะเฉพาะของระบบอุปถัมภ์เช่นนี้สิ่งที่ Stokes
(2011) ตั้งคำาถามก็คือ ระบบอุปถัมน์นั้นมักจะเกี่ยวพันกับสังคมที่มีความยากจนแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และ
มีกลไกที่อ่อนแอและไม่มีประสิทธิภาพ (Stokes, 2011)
การพิจารณาเรื่องระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองจึงควรพิจารณาทั้งมิติทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
(คือมีมานานแล้วในสังคม) กับมิติของการให้เหตุผลผ่านข้อจำากัดทางการเมืองเศรษฐกิจ อาทิ การศึกษาตรรกะ
ของผู้อุปถัมภ์ทั้งระดับผู้สมัคร และ พรรค รวมทั้งพรรคที่ถืออำานาจรัฐในการตัดสินใจใช้กลไกอุปถัมภ์ทางการเมือง
ในการแสวงหาคะแนนหรือการสนับสนุนการเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่แค่อิงระบบท้องถิ่นหรืออิงการเมือง
ของการกระจายด้วยโครงการ แต่เป็นเพียงการเมืองของการกระจายในเชิงยุทธวิธี (tactical redistribution)
โดยเน้นเพียงกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนเท่านั้น (Dixit and Londregan, 1996 อ้างใน Stokes,
2011) ในขณะที่ในการศึกษาจากมุมมองของผู้ใต้อุปถัมภ์นั้นจะพบว่า เราจำาต้องพิจารณาว่าผู้ใต้อุปถัมภ์นั้น