Page 50 - kpiebook63010
P. 50

49








                  และ รอยแยกระหว่างนายทุนกับชนชั้นแรงงาน ในแง่นี้ พรรคการเมืองในยุโรปที่เป็นตัวแทนของความแตกแยก

                  ดังกล่าวเท่านั้นที่จะอยู่รอดมาจากอดีตถึงปัจจุบัน (Lipset and Rokkan, 1990)


                          ข้อเสนอในเรื่องของการเมืองในมิติรอยแยกทางสังคมนั้น ได้รับการถกเถียงอย่างมากมาย พร้อมกับ
                  ข้อเสนอใหม่ ๆ อาทิ การปฏิเสธคำาอธิบายที่ว่าความขัดแย้งในเชิงโครงสร้างทางสังคมนั้นมีผลต่อการดำารง

                  อยู่ของพรรคการเมือง หมายถึงว่าความแตกแยกในสังคมนั้นสะท้อนออกมาผ่านพรรคการเมือง หรือการเมืองเป็น
                  เพียงผลสะท้อนของความขัดแย้งในระดับโครงสร้างของสังคม สิ่งที่ควรพิจารณาก็คือ ความขัดแย้งในสังคมนั้น

                  ไม่ได้เพียงสะท้อนออกมาทางการเมืองเท่านั้น ระบบการเมืองเองก็สร้างความขัดแย้งและรอยแยกทางสังคมด้วย
                  รวมทั้งยังตอกยำ้าและทำาให้ความแตกแยกในสังคมนั้นสะท้อนออกมาอีกด้วย รวมไปถึงบรรดาผู้ที่ทำางาน

                  ในพรรคการเมืองนั้นอาจจะมีส่วนสำาคัญที่ทำาให้ความแตกแยกและรอยแยกในสังคมนั้นดำาเนินต่อไป (Sartori,
                  1969) หรือการเกิดขึ้นของพรรคสมัยใหม่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม และ

                  พรรคนอกประสบการณ์ในยุโรป (Blondel and Inoguchi, 2012) และพรรคที่สามารถประสานประโยชน์
                  หรือรวบรวมความหลากหลายของผลประโยชน์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ (catch-all party) หรือเป็นพรรคที่สามารถ

                  สร้างบูรณาการจากความแตกแยกทางสังคมเข้าด้วยกัน (Kircheimer, 1966 อ้างใน Fabbrini, 2001) นอกจากนี้
                  ความเชื่อที่ว่าพรรคการเมืองนั้นพัฒนาขึ้นโดยธรรมชาติจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และรอยแยกทางสังคมนั้น

                  ละเลยการทำาความเข้าใจเงื่อนไขทางกฎระเบียบและสถาบันที่ส่งผลรูปแบบของการเมืองและพรรคการเมืองด้วย
                  (institutional engineering) (Blondel and Inoguchi, 2012)







                  2.1.7  กระบวนกำรตัดสินใจเลือกตั้งและตัวกลำง


                          Gunther, Costa Lobo, Bellucci และ Lisi (2016) เสนอว่า ปัจจุบันปัจจัยที่มีผลต่อการเลือก
                  ลงคะแนนในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกทั้งในระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่มานานและที่เพิ่งมีขึ้นใหม่มีอยู่

                  หลายประการ และมีความแตกต่างกันในเรื่องของประสบการณ์ในเรื่องความเป็นประชาธิปไตย และ ระดับของ
                  การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคม การวิจัยพบว่า สิ่งสำาคัญที่มีผลต่อการลงคะแนนเสียง (determinants of vote) นั้น

                  มีอยู่หลายประการ และมีลักษณะที่ไล่เรียงลำาดับกันไป (series of sequential factors) ได้แก่


                          1.    ตัวแปรระดับโครงสร้าง (structural variables) อาทิ ชนชั้น ศาสนา และ ชาติพันธุ์

                          2.    อิทธิพลของความมีใจโน้มเอียงทางการเมืองที่มีมาก่อนหน้านั้นอย่างยาวนาน (long-term

                                political predispositions) อาทิ คุณค่าทางการเมืองและสังคม ความโน้มเอียงทาง
                                อุดมกาณ์ในแบบซ้าย-ขวา หรือการเลือกข้างทางการเมือง


                          ทั้งนี้ อาจจะมองได้ว่า ตัวแปรทั้งสองตัวนี้มีผลสำาคัญในระดับของ “ความปริแยกหรือรอยแยก”
                  (cleavage) ที่เกิดขึ้นในสังคม
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55