Page 91 - b29416_Fulltext
P. 91

89


                          เมื่อค านึงถึงสภาพปัญหาความขัดแย้งและสภาพปัญหาประชาธิปไตยถดถอยในสังคมไทย

                   ดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ งานวิจัยชิ้นนี้จึงเสนอว่าสังคมไทย
                   ต้องการระบบเลือกตั้งที่ก้าวข้ามพ้นการผลิตพรรคการเมืองเด่นพรรคเดียวหรือสองพรรคครอบง า

                   ในขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงระบบพรรคการเมืองแบบเบี้ยหัวแตกอันอ่อนแอด้วย ระบบพรรค

                   การเมืองที่พึงปรารถนาส าหรับสังคมไทยคือ ระบบหลายพรรคที่มั่นคง (stable multiparty system)
                   มีจ านวนพรรคการเมือง 6-8 พรรคในระบบ เพื่อเอื้อให้เกิดรัฐบาลผสมที่ไม่ต้องมีจ านวนพรรค

                   ร่วมรัฐบาลมากจนเกินไป แต่เป็นรัฐบาลผสม 2-3 พรรคที่มีนโยบายใกล้เคียงกันสามารถท างาน
                   ร่วมกันได้และต้องมีการรอมชอมกันในการท างาน

                          เมื่อเปรียบเทียบระบบเลือกตั้งที่สังคมไทยใช้มาทั้งหมดหลังรัฐธรรมนูญ 2540 พบว่าแต่ละ
                   ระบบ คือ ระบบปี 2540, 2550, 2550 แก้ไขเพิ่มเติม, และ 2560 ต่างมีจุดอ่อนและปัญหาในตัว

                   ระบบ (ดังที่อภิปรายไปอย่างละเอียดแล้ว) และดังนั้นจึงยังไม่ตอบโจทย์ของการลดความขัดแย้งและ

                   เสริมสร้างคุณภาพประชาธิปไตย งานวิจัยชิ้นนี้เสนอว่าตัวแบบระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมกว่า คือ
                   ระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วน (MMP) ซึ่งใช้อยู่ในประเทศเยอรมนี นิวซีแลนด์ ฯลฯ เพราะเป็นระบบ

                   ที่ทั้งสร้างความเป็นสัดส่วน ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง ความมีประสิทธิภาพของรัฐบาล

                   และเอื้อให้เกิดการเมืองแบบรอมชอม ระบบผสมแบบสัดส่วนเป็นระบบที่เป็นธรรมกับทุกพรรค
                   การเมืองในสนามแข่งขันเพราะได้ที่นั่งตามสัดส่วนของคะแนนเสียงที่พรรคได้รับทั้งประเทศ เป็นธรรม

                   กับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเพราะมีบัตรเลือกตั้งสองใบ ประชาชนมีโอกาสเลือกทั้งผู้แทนในระบบเขต
                   ไปดูแลพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ และเลือกพรรคที่มีนโยบายในการพัฒนาประเทศในภาพรวม นอกจากนั้น

                   ระบบนี้ยังเปิดโอกาสให้พรรคทางเลือกขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้ เพราะสามารถรวบรวมคะแนนที่
                   ประชาชนเลือกพรรคจากทุกเขตทั้งประเทศเพื่อเข้าสู่สภา ดังที่พรรคกรีนของเยอรมนีที่เน้นนโยบาย

                   ด้านสิ่งแวดล้อมได้อาศัยประโยชน์จากระบบนี้ในการเข้าสู่สภาและสร้างผลงานจนพรรคเติบใหญ่ขึ้น

                   เรื่อยๆ จากพรรคขนาดเล็กกลายมาเป็นพรรคการเมืองส าคัญในระบบการเมืองของเยอรมนี
                          ระบบผสมแบบสัดส่วนที่เหมาะสมส าหรับประเทศไทย ไม่จ าเป็นต้องมีรายละเอียด

                   ทุกประการเหมือนกับระบบของเยอรมนีหรือนิวซีแลนด์ เพราะหัวใจส าคัญของการออกแบบระบบ
                   เลือกตั้งคือการน าระบบเลือกตั้งที่มีความเป็นมาตรฐานสากลที่หลายประเทศทดลองใช้มาเป็น

                   ระยะเวลายาวนานมาปรับรายละเอียด (แต่ไม่ใช่บิดเบือนหลักการ) ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคม

                   ตนเอง ซึ่งกรณีระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วนที่เหมาะสมกับสังคมไทยที่งานวิจัยชิ้นนี้เสนอ
                   มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

                          1. เป็นระบบผสมแบบสัดส่วนในลักษณะที่คล้ายคลึงกับเยอรมนีและนิวซีแลนด์ คือมีผู้แทน
                   สองประเภท ทั้งผู้แทนในระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ

                          2. ประชาชนมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อสามารถเลือกทั้งผู้สมัครในเขตที่มีคุณสมบัติดี

                   และเลือกพรรคที่มีนโยบายที่ประชาชนนิยมชมชอบ
   86   87   88   89   90   91   92   93   94   95   96