Page 89 - b29416_Fulltext
P. 89

87


                   และมีชุดนโยบายที่ชัดเจนจากการใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วน ซึ่งคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ

                   เป็นตัวก าหนดจ านวนที่นั่งทั้งหมดของพรรค (Saalfeld 2005; Zittel 2018, 782-93)
                          ตั้งแต่การเลือกตั้งปี ค.ศ. 2013 มีการน ากลไกชดเชยเพิ่มเติมมาใช้เพื่อเพิ่มความเป็นสัดส่วน

                   ให้มากขึ้น ปัญหาเกิดจากการที่พรรคการเมืองบางพรรคมีที่นั่งส่วนเกิน (surplus/overhang seats)

                   สูงมากขึ้นนับตั้งแต่การรวมเยอรมนีตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน จากที่ในอดีตที่นั่งส่วนเกินอยู่ที่
                   1-5 ที่นั่งพุ่งขึ้นสูงเป็น 20 กว่าที่นั่ง ท าให้ต้องมีการแก้ปัญหานี้โดยเพิ่มที่นั่งให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ

                   ที่ไม่มีที่นั่งส่วนเกิน เพื่อปรับความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนกับที่นั่งให้เท่าเทียมกันทุกพรรค
                   (Behnke 2007) เช่น หากพรรคการเมือง A ได้ที่นั่งส่วนเกินคิดเป็นร้อยละ 5 ของที่นั่งที่พรรคควร

                   ได้รับ ก็ต้องมีการเพิ่มที่นั่งให้พรรคอื่นๆ ร้อยละ 5 เช่นกัน  แต่กลไกการชดเชยที่นั่งให้กับ
                   พรรคการเมืองอื่นๆ นี้ท าให้จ านวน ส.ส. ในรัฐสภาแต่ละชุดมีจ านวนไม่เท่ากัน และรัฐสภาบางชุด

                   มีจ านวน ส.ส. มากเกินไป และท าให้มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นในการค านวณคะแนนให้กับแต่ละ

                   พรรค ด้วยเหตุนี้ บางประเทศที่น าระบบผสมแบบเยอรมนีไปใช้จึงตัดสินใจให้มีที่นั่งส่วนเกิน
                   โดยไม่ต้องมีกลไกชดเชย ดังกรณีของประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนเสนอว่าในกรณีที่ประเทศ

                   ไทยน าระบบผสมแบบสัดส่วนมาใช้ ควรด าเนินรอยตามประเทศนิวซีแลนด์เพื่อลดความซับซ้อน

                   ยุ่งยากในการค านวณคะแนนและจัดสรรที่นั่งให้กับพรรคการเมือง อันอาจเป็นชนวนของความขัดแย้ง
                   และโต้เถียงอย่างร้อนแรงได้


                          ข้อเสนอในการปฏิรูประบบเลือกตั้งของไทย

                          การออกแบบระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมกับสังคมไทยในบริบทปัจจุบัน ต้องค านึงถึง 2
                   ประเด็นใหญ่ คือ สภาพของความขัดแย้งและคุณภาพของประชาธิปไตย ระบบเลือกตั้งที่จะน ามาใช้

                   หลังจากนี้เมื่อมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่อย่างเป็นระบบ ควรเป็นระบบเลือกตั้งที่ช่วยลด

                   ความขัดแย้งแบ่งขั้วร้าวลึกที่ด ารงอยู่ให้คลี่คลายลง มิใช่เพิ่มหรือตอกตรึงความขัดแย้งให้ขยายตัวและ
                   ลงลึกมากขึ้น กล่าวคือระบบเลือกตั้งต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม

                   แทนที่จะเป็นกลไกที่น าไปสู่ความขัดแย้งเสียเอง นอกจากนั้น ระบบเลือกตั้งที่จะออกแบบใหม่ควร
                   เป็นกติกาที่สร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบประชาธิปไตยด้วย สังคมไทยก าลังเผชิญวิกฤตที่ยาก

                   หลายประการในยุคที่โลกมีความผันผวน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกติกาประชาธิปไตยต้อง

                   เป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและมีเอกภาพในการด าเนินนโยบาย พร้อมกับรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์
                   สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และมีการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี

                          สังคมไทยประสบปัญหาจากความขัดแย้งในช่วงตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยแต่ละกลุ่มใน
                   สังคมไม่มีฉันทามติในกติกาการเลือกตั้งและกระบวนการประชาธิปไตย ภาวะที่มีพรรคการเมืองเด่น

                   พรรคเดียวครองอ านาจในทางการเมือง (dominant party) หลังการใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่น า

                   ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนานมาใช้ ถูกมองจากประชาชนสองกลุ่มแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ประชาชน
                   กลุ่มหนึ่งมองว่าภาวะดังกล่าวคือการผูกขาดอ านาจทางการเมือง (ในตลาดพรรคการเมือง) ท าให้
   84   85   86   87   88   89   90   91   92   93   94