Page 84 - b29416_Fulltext
P. 84

82


                          ทั้งนี้จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ พบว่าระบบผสมตอบโจทย์ของปัญหาที่สังคมไทย

                   เผชิญ และเข้าเกณฑ์ของระบบเลือกตั้งที่เหมาะสม คือ ไม่ก่อให้เกิดระบบผู้ชนะได้หมดผู้แพ้เสียหมด
                   แบบระบบเสียงข้างมาก ที่มักน าไปสู่รัฐบาลพรรคเดียวที่ได้ที่นั่งเกินสัดส่วนของคะแนนเสียงที่

                   ประชาชนเลือก จนท าให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นๆ รู้สึกว่าเสียงของตนไม่ได้รับการสะท้อน

                   ในสภา ระบบผสมท าให้มีระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคมากกว่าพรรคเด่นพรรคเดียว แต่ก็ไม่
                   ท าให้เกิดระบบพรรคการเมืองที่กระจัดกระจายมีพรรคเล็กพรรคน้อยมากจนเกินไป ซึ่งระบบผสม

                   แบบสัดส่วน (Mixed Member Proportional System- MMP) จะท างานได้ดีกว่าระบบผสมแบบ
                   เสียงข้างมาก (Mixed Member Majoritarian System- MMM) ในประเด็นนี้ เพราะระบบผสมแบบ

                   เสียงข้างมาก (ยิ่งให้สัดส่วนของผู้แทนระบบเขตมากกว่าบัญชีรายชื่อ) ยังจะก่อให้เกิดปัญหา
                   ความไม่เป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนกับที่นั่งและยังเอื้อให้เกิดระบบพรรคเด่นพรรคเดียวได้ ดังที่พบใน

                                                                                    45
                   ประเทศรัสเซีย ฮังการี ญี่ปุ่น เป็นต้น (Shugart and Wattenberg 2001, 585)
                          ระบบผสมแบบสัดส่วนยังเสริมสร้างให้เกิดรัฐบาลผสมที่ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว เหมาะกับ
                   สังคมที่มีการแบ่งแยกแตกขั้วสูง เพราะจะช่วยลดการแบ่งขั้วลง การมีพรรคการเมืองมากกว่าหนึ่ง

                   พรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลท าให้ต้องมีการเจรจาและแสวงหาความร่วมมือกันและหลอมรวม

                   ความแตกต่างทั้งในเชิงนโยบายและอุดมการณ์เพื่อร่วมกันท างานตอบสนองประชาชน ซึ่งจะช่วย
                   ลดทอนการเมืองแบบขาวด า มิตร/ศัตรูที่ต้องเผชิญหน้ากันแบบแตกหัก พรรคขนาดใหญ่ก็ต้อง

                   ฟังเสียงของพรรคขนาดกลางและเล็กในกระบวนการก าหนดนโยบาย ในขณะเดียวกันระบบผสมแบบ
                   สัดส่วนไม่ก่อให้เกิดระบบพรรคการเมืองที่แตกกระจัดกระจายเหมือนดังระบบสัดส่วนซึ่งจะท าให้

                   การท างานของรัฐบาลขาดประสิทธิภาพและระบบการเมืองไร้เสถียรภาพได้ กล่าวในอีกทางหนึ่ง
                   ระบบผสมเปิดโอกาสให้พรรคขนาดเล็กเข้าสู่สภาได้ (เมื่อเทียบกับระบบเสียงข้างมากที่ค่อนข้างปิด

                   โอกาสพรรคเล็ก) แต่ไม่ท าให้พรรคเล็กมีอ านาจวีโต้หรืออ านาจต่อรองมากจนเกินไปจนสั่นคลอน

                   เสถียรภาพทางการเมืองได้ (ดังที่เกิดขึ้นในระบบสัดส่วน) (Shugart and Wattenberg 2001, 591;
                   Lijphart 1994)

                          ระบบผสมยังคงผู้แทนในระบบเขตไว้ ท าให้มีความยึดโยงกับคนในท้องถิ่น สามารถตรวจสอบ
                   การท างานของนักการเมืองได้ใกล้ชิด และสร้างความรับผิดที่ชัดเจนของนักการเมืองต่อประชาชน

                   ในเขตเลือกตั้ง (accountability) ในขณะเดียวกันการมีผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อที่ดูภาพรวมนโยบาย

                   ของทั้งประเทศท าให้พรรคการเมืองก้าวพ้นจากการเป็นฐานเสียงแบบคับแคบที่เน้นท้องถิ่น
                   (localism) แต่ต้องมีวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาประเทศในภาพรวม ท าให้พรรคการเมืองต้อง

                   สร้างองค์กรของตนให้เป็นองค์กรที่สะท้อนผลประโยชน์และเป็นตัวแทนของคนทั้งชาติ และมีการจัด
                   องค์กรที่เข้มแข็ง มีการท างานที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ (national scope) (Cox 1997;




                   45  ส าหรับญี่ปุ่นซึ่งใช้ระบบผสมแบบคู่ขนาน ใช้ระบบสองสภา ส าหรับสภาล่างมีผู้แทน 465 คน แบ่งเป็นผู้แทนระบบเขต 289 คนและ
                   ระบบบัญชีรายชื่อ 176 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 ต่อ 48 ในส่วนระบบเขตใช้เขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียว (ระบบ FPTP) และ
                   ระบบบัญชีรายชื่อใช้เขตภูมิภาคเป็นเขตเลือกตั้ง (Nemoto 2018, 825-50)
   79   80   81   82   83   84   85   86   87   88   89