Page 88 - b29416_Fulltext
P. 88

86


                   ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเลือกระบบ MMP เนื่องจากเห็นว่ามีผลลัพธ์ด้านบวกมากกว่าด้านลบ

                   (Arseneau and Roberts 2012)
                          เมื่อกล่าวถึงระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วนโดยยกตัวอย่างนิวซีแลนด์แล้ว คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

                   ที่จะพิจารณาต้นแบบของระบบนี้ ซึ่งประเทศที่ก่อให้เกิดระบบผสมแบบสัดส่วนนี้ก็คือเยอรมนี

                   ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศที่มีคุณภาพของประชาธิปไตยสูงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก


                          ระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วนแบบเยอรมนี
                          เยอรมนีเป็นต้นแบบของระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วน (MMM) ที่มีทั้งผู้แทนทั้งในระบบเขต

                   และระบบบัญชีรายชื่อ โดยประชาชนมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เลือกผู้แทนทั้งสองประเภท และใช้คะแนน
                   ในส่วนบัญชีรายชื่อเป็นตัวก าหนดที่นั่งทั้งหมดที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับ ลักษณะเด่นของระบบ

                   ผสมแบบเยอรมนีคือ ความพยายามที่จะคงจุดเด่นของทั้งระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากที่เน้น

                   ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาลและการมีเขตเลือกตั้งที่ผู้แทนรับผิดชอบ
                   กับประชาชน กับระบบสัดส่วนที่เน้นความหลากหลายของพรรคการเมือง ป้องกันพรรคการเมือง

                   ขนาดใหญ่พรรคเดียวผูกขาดอ านาจและให้โอกาสกับพรรคการเมืองขนาดเล็กเข้าสู่สภา โดยประเด็น

                   หลังนี้ส าคัญเป็นพิเศษอันเนื่องมาจากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์อันขมขื่นของประเทศเยอรมนี
                   2 ช่วงคือ ช่วงสาธารณรัฐไวมาร์ (ค.ศ. 1918-1933) ที่ใช้ระบบสัดส่วนแบบสมบูรณ์ (บัญชีรายชื่อแบบ

                   ปิด) ซึ่งน าไปสู่ระบบพรรคการเมืองที่กระจัดกระจาย อ่อนแอ และไร้เสถียรภาพทางการเมือง
                   จนน าไปสู่การล่มสลายของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของเยอรมนีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

                          ความไร้เสถียรภาพและความอ่อนแอของระบบพรรคการเมืองของประเทศเยอรมนีในช่วง
                   ดังกล่าวยังได้ปูทางไปสู่ประวัติศาสตร์ยุคมืดภายใต้การครองอ านาจของระบอบนาซีที่มีฮิตเลอร์เป็น

                   ผู้น า ความวุ่นวายและอ่อนแอของรัฐบาลผสมและความไร้เสถียรภาพทางสังคมถูกผู้น าเผด็จการ

                   อย่างฮิตเลอร์น ามาเป็นข้ออ้างในการยุติการปกครองแบบประชาธิปไตย
                          ดังนั้น ประวัติศาสตร์การเมืองอันขมขื่นทั้งสองลักษณะ คือ ระบบการเมืองแบบหลายพรรค

                   ที่อ่อนแอ กับระบบการเมืองเผด็จการแบบพรรคเดียวจึงเป็นภาวะสุดขั้วสองด้านที่ผู้ออกแบบระบบ
                   เลือกตั้งของประเทศหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องการหลีกเลี่ยง ลักษณะเด่นของระบบผสม

                   แบบเยอรมนีจึงอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายหลักสองประการของการออกแบบระบบ

                   เลือกตั้ง คือ ความเป็นสัดส่วนและเสถียรภาพทางการเมือง (Kreuzer 2001, 133-69, Scarrow
                   2001) ซึ่งน ามาสู่ระบบผสมที่เรียกว่าระบบผสมแบบสัดส่วน

                          ในระบบบัญชีรายชื่อของเยอรมนี จะมีการแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 16 เขต (ตามจ านวน
                   มลรัฐ) โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด ส่วนระบบเขตใช้เขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวโดยการ

                   ชนะเสียงข้างมากแบบง่าย โดยมีการก าหนดเกณฑ์ขั้นต่ าร้อยละ 5 ในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมี

                   ความส าคัญมากในการท าให้การเมืองเยอรมนีไม่เกิดระบบพรรคการเมืองแบบกระจัดกระจาย
                   จนน าไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง สถาบันพรรคการเมืองของเยอรมนีมีความเข้มแข็ง มีวินัยสูง
   83   84   85   86   87   88   89   90   91   92   93