Page 93 - b29416_Fulltext
P. 93

91


                          4. ควรมีการก าหนดเพดานขั้นต่ า แต่เพดานไม่ควรสูงจนเกินไป เพราะจะสกัดโอกาสของ

                   พรรคขนาดเล็กที่เป็นพรรคทางเลือกในการเข้าสู่สภา งานวิจัยชิ้นนี้เสนอว่าเพดานขั้นต่ าควรอยู่ที่
                   ร้อยละ 3 แต่มีข้อยกเว้นให้กับพรรคที่แม้ได้คะแนนบัญชีรายชื่อไม่ถึงร้อยละ 3 แต่สามารถชนะ ส.ส.

                   เขตได้อย่างน้อย 1 ที่นั่ง (ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์เดียวกับที่นิวซีแลนด์ใช้) หากท าเช่นนี้ก็จะเปิดโอกาส

                   ให้พรรคขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่น าไปสู่พรรคการเมืองจ านวนมากจนเกินไป
                          48
                   ในระบบ
                          ที่ผ่านมาสังคมไทยมีแนวทางตรงกันข้ามสองแนวคือ ระบบเลือกตั้งปี 2540 ก าหนดเพดานไว้
                   ที่ร้อยละ 5 ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ท าให้พรรคขนาดเล็กบางพรรคเสียเปรียบในการสร้างพรรคขึ้นมาเป็น

                   ทางเลือก เช่น พรรคถิ่นไทย เป็นต้น ในขณะที่ระบบเลือกตั้ง 2550 และ 2560 ย้อนศรนี้ด้วยการ
                   ยกเลิกเพดานขั้นต่ าลงทั้งหมด ซึ่งน าไปสู่ปัญหาตรงกันข้ามคือ ท าให้มีพรรคเล็กพรรคน้อยมาก

                   จนเกินไปจนท าให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ หากไม่มีเพดานขั้นต่ า ก็จะมีแนวโน้มที่มีพรรค

                   การเมืองจ านวน 1 ที่นั่งหรือ 2 ที่นั่งจ านวนมากซึ่งมิได้เป็นประโยชน์กับการท างานในสภา ดังที่ผู้วิจัย
                   อภิปรายไว้แล้ว สังคมไทยต้องการพรรคทางเลือกที่สามารถท างานในสภาได้และเป็นปากเสียงให้กับ

                   ประชาชนได้ ซึ่งต้องการ ส.ส. ในระดับที่มากกว่า 1-2 คน และระบบพรรคการเมืองที่เหมาะสมใน

                   สังคมไทยคือ ระบบหลายพรรค (มิใช่พรรคเด่นพรรคเดียวที่จะท าให้ตรวจสอบยาก หรือระบบสอง
                   พรรคเด่นที่จะซ้ าเติมภาวะแบ่งขั้วร้าวลึก) แต่ต้องเป็นระบบหลายพรรคที่ไม่กระจัดกระจายเป็นเบี้ย

                   หัวแตกดังที่เกิดขึ้นในระบบเลือกตั้งปี 2560 ฉะนั้นระบบหลายพรรคในขนาด 6-10 พรรค ซึ่งจะเอื้อ
                   ให้เกิดรัฐบาลผสม 2-3 พรรค เป็นระบบที่งานวิจัยชิ้นนี้เห็นว่าสอดคล้องกับการลดความขัดแย้งและ

                   เสริมสร้างคุณภาพประชาธิปไตยในสังคมไทย ซึ่งการก าหนดเพดานขั้นต่ าที่ร้อยละ 3 (โดยยกเว้น
                   ให้กับพรรคที่ชนะ ส.ส. เขต 1 ที่นั่ง) จะสามารถตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ได้

                          5. การค านวณที่นั่ง ใช้คะแนนในบัตรบัญชีรายชื่อเป็นตัวก าหนดที่นั่งทั้งหมดที่แต่ละพรรคจะ

                   ได้รับ เพราะคะแนนดังกล่าวสะท้อนความนิยมของแต่ละพรรคได้ดีที่สุด (มากกว่าคะแนนในระบบเขต
                   ที่ผู้ใช้สิทธิส่วนใหญ่เลือกโดยดูคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครประกอบด้วย) ยกตัวอย่างเช่น พรรค A

                   ได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อคิดเป็นร้อยละ 30 ก็จะได้ที่นั่งรวมของพรรคเท่ากับ (30% ของ 500)
                   150 ที่นั่ง หากได้ที่นั่งในระบบเขตแล้ว 100 ที่นั่ง ก็จะได้รับการจัดสรรที่นั่งบัญชีรายชื่อ 50 ที่นั่ง

                   (150-100) แต่หากชนะเลือกตั้งจนได้ที่นั่งในระบบเขตแล้ว 150 ที่นั่งก็จะไม่ได้ที่นั่งในบัญชีรายชื่ออีก

                   แต่ถ้าหากชนะเลือกตั้งจนได้ที่นั่งในระบบเขตถึง 155 ที่นั่ง ก็เท่ากับว่ามีที่นั่งส่วนเกิน (overhang
                   seat) 5 ที่นั่ง ก็จะไม่ได้ที่นั่งในบัญชีรายชื่ออีก แต่สามารถเก็บที่นั่งส่วนเกินไว้ได้







                   48  หากใช้ระบบเช่นนี้ ย้อนกลับไปในอดีตสมัยการเลือกตั้งปี 2544-2548 พรรคถิ่นไทย และพรรคมหาชนจะได้รับการจัดสรรที่นั่งใน
                   ระบบบัญชีรายชื่อ
   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98