Page 96 - b29416_Fulltext
P. 96
94
บทสรุป
งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์หลักสองประการคือ ประการที่หนึ่ง เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย
ของระบบเลือกตั้งที่ประเทศไทยใช้ตั้งแต่การปฏิรูปการเมืองปี 2540 ถึงรัฐธรรมนูญ 2560 และ
ประการที่สอง ออกแบบระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบันโดยค านึงถึง
เป้าหมายการลดความความขัดแย้งและการส่งเสริมคุณภาพประชาธิปไตยเป็นส าคัญ
ผลการศึกษาพบว่าระบบเลือกตั้งของไทยถูกเปลี่ยนบ่อยครั้งอันเนื่องมาจากความขัดแย้งและ
ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ในรอบ 2 ทศวรรษประเทศไทยเปลี่ยนระบบเลือกตั้งถึง 4 ครั้ง คือ
ระบบเลือกตั้งปี 2540 อันเป็นผลจากขบวนการปฏิรูปการเมือง, ระบบเลือกตั้งปี 2550 ที่เกิดขึ้นหลัง
การรัฐประหารปี 2549, ระบบเลือกตั้งปี 2550 แก้ไขเพิ่มเติมในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ซึ่งเป็นผลจากการเจรจาต่อรองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม
ปี 2560 ที่มาจากการร่างของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัย ฤชุพันธ์ ที่ถูกแต่งตั้งโดย
คณะรัฐประหารปี 2557 การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งบ่อยครั้งเช่นนี้ถือว่าผิดแผกแตกต่างจากประเทศ
ส่วนใหญ่ในโลกที่กติกาการเลือกตั้งค่อนข้างเสถียร มิได้ถูกแก้ไขบ่อยครั้งนัก ซึ่งสะท้อนการขาด
ฉันทามติในสังคมไทยในเรื่องกติกาพื้นฐานในการขึ้นสู่อ านาจ และสะท้อนว่าระบบเลือกตั้ง
แต่ละระบบยังไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งผลที่ตามมาคือ
ความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตยไทย
การศึกษาวิจัยชิ้นนี้เปรียบเทียบระบบเลือกตั้งที่ประเทศไทยเคยใช้จากปี 2540-2560 โดยใช้
เกณฑ์ส าคัญ 5 ประการด้วยกันกล่าวคือ 1. ความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่ง
(proportionality) หรือหลักความยุติธรรมของคะแนน 2. ความเข้มแข็งและเสถียรภาพของรัฐบาล
(government) 3. ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง (party system) 4. การให้ความส าคัญกับ
พรรคขนาดเล็ก (representation) 5. ความง่ายต่อความเข้าใจของผู้ลงคะแนน (simplicity)
ผลการศึกษาพบว่าระบบเลือกตั้งแต่ละระบบมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่ต่างกันไป และสร้างผลลัพธ์
ที่แตกต่างกันต่อระบบการเมือง โดยระบบเลือกตั้งปี 2540 มีจุดเด่นในการสร้างความเข้มแข็งให้กับ
รัฐบาลและพรรคการเมืองขนาดใหญ่ แต่มีจุดอ่อนเรื่องความเป็นสัดส่วนและการเปิดโอกาสให้พรรค
ขนาดเล็ก ในขณะที่ระบบเลือกตั้งปี 2560 มีจุดเด่นในการสร้างความเป็นสัดส่วน แต่มีจุดอ่อนในเรื่อง
การสร้างความเข้มแข็งของรัฐบาลและความเสถียรมั่นคงของระบบพรรคการเมือง และความยุ่งยาก
ซับซ้อนในการท าความเข้าใจของประชาชน อย่างไรก็ตาม เราควรตระหนักถึงข้อจ ากัดในการ
พิจารณาเปรียบเทียบผลกระทบในการเลือกตั้งของไทยด้วย เนื่องจากปรกติระบบเลือกตั้งที่น ามาใช้
ในประเทศหนึ่งๆ จะสร้างผลกระทบที่ชัดเจนเมื่อมันถูกใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้ง (Taagepera
1998) แต่ระบบเลือกตั้งของไทยถูกใช้จัดการเลือกตั้งเพียง 1-2 ครั้งก็ถูกยกเลิกไป ทว่าภายใต้
ข้อจ ากัดจากความเป็นจริงดังกล่าว การเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยของระบบเลือกตั้งแต่ละระบบเมื่อ
ถูกน ามาใช้จริงก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และควรค่าแก่การศึกษาวิจัย