Page 80 - b29416_Fulltext
P. 80
78
ในการเลือกตั้งปี 2548 บัตรเสียลดลงเหลือร้อยละ 4.44 (5.99 ในระบบเขต และ 2.89 ในระบบบัญชี
รายชื่อ) (ดูตารางที่ 20)
ประการที่สอง โดยเฉลี่ยแล้วจ านวนบัตรเสียเกิดขึ้นในระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมากกว่า
ระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งอธิบายได้ว่าการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อนั้นเข้าใจได้ง่ายกว่าเพราะเป็น
การเลือกพรรคเบอร์เดียว มีเพียงการเลือกตั้งปี 2550 เท่านั้นที่จ านวนบัตรเสียในระบบบัญชีรายชื่อมี
มากกว่าระบบเขต (5.56: 2.56) ซึ่งเกิดจากการใช้ระบบบัญชีรายชื่อแบบใหม่ โดยเปลี่ยนจากเขต
เลือกตั้งทั้งประเทศไปเป็นกลุ่มจังหวัดซึ่งประชาชนที่อยู่ในแต่ละกลุ่มจังหวัดจะมีบัญชีรายชื่อของ
พรรคการเมืองแตกต่างกันไป อาจจะท าให้เกิดความสับสนได้ ดังจะเห็นได้ว่าบัตรเสียในระบบบัญชี
รายชื่อในปี 2550 สูงกว่าระบบเขตประมาณ 2 เท่าและเพิ่มขึ้นจากบัตรเสียในระบบบัญชีรายชื่อของ
การเลือกตั้งปี 2544 และ 2548 เกือบ 2 เท่าเช่นเดียวกัน (ดูตารางที่ 20) ส่วนระบบเลือกตั้งปี 2560
ไม่มีบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้
ประการที่สาม เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งหมด การเลือกตั้งที่มีบัตรเสียมากที่สุดคือ
การเลือกตั้งปี 2544 ที่ใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนาน กับการเลือกตั้งปี 2562 ที่ใช้ระบบเลือกตั้ง
จัดสรรปันส่วนผสม โดยในปี 2544 นั้นสาเหตุส าคัญมาจากการใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนานเป็น
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากประเทศไทยใช้ระบบแบบบล็อกโหวตมาอย่างต่อเนื่องยาวนานโดย
ไม่เคยเปลี่ยน จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ถึงจ านวนบัตรเสียที่มีปริมาณสูง ทั้งนี้น่าสนใจว่าเมื่อใช้ระบบ
เลือกตั้งดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ปริมาณบัตรเสียลดลงอย่างมีนัยส าคัญจากร้อยละ 6.25 เหลือร้อยละ
4.44 (ดูตารางที่ 20) ส าหรับการเลือกตั้งปี 2562 ที่มีบัตรเสียสูงเป็นประวัติศาสตร์ในอันดับรองลงมา
นั้น สาเหตุหลักคือ การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากระบบผสมที่มีบัตร 2 ใบที่ประเทศไทยใช้ต่อเนื่องมา
18 ปี มาเป็นระบบบัตรใบเดียว (แต่ยังคงมีผู้แทน 2 ระบบ) ซึ่งไม่เคยถูกใช้มาก่อน ดังที่งานวิจัยของ
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ชี้ว่าประชาชนขาดความรับรู้และความเข้าใจต่อระบบเลือกตั้งจัดสรร
ปันส่วนผสมตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยจากผลส ารวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 84.76 ตอบว่า
ทราบเรื่องบัตรเลือกตั้งเหลือใบเดียว แต่เมื่อถามถึงความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง มีคนตอบว่า
เข้าใจระบบใหม่อย่างดีเพียงร้อยละ 14.26 พอเข้าใจ ร้อยละ 60.71% และตอบว่าเข้าใจน้อยและ
ไม่เข้าใจเลย 25.03% เมื่อแบบส ารวจถามลึกลงไป เพื่อวัดความรู้เรื่องระบบเลือกตั้ง พบว่าผู้ตอบ
แบบสอบถามตอบว่า “ไม่แน่ใจ” (คือไม่ตอบค าถามเลย) สูงถึงร้อยละ 47.76 ตอบผิดร้อยละ
24.09 และตอบถูกเพียงร้อยละ 23.66 เท่านั้น นอกจากนั้น ปริญญาชี้ว่าเมื่อผนวกกับการที่
คณะกรรมการการเลือกตั้งก าหนดกฎเกณฑ์ใหม่ให้ผู้สมัครแบบเขตของพรรคเดียวกันแต่กลับมี
หมายเลขแตกต่างกันในแต่ละเขตเลือกตั้ง ก่อให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน จนเป็นผลท าให้
การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตรเสียสูงถึงร้อยละ 5.57 (ปริญญา 2565)

