Page 78 - b29416_Fulltext
P. 78
76
สรุป
ในประเด็นระบบเลือกตั้งกับพรรคขนาดเล็กพบว่าระบบเลือกตั้งที่ท าให้มีพรรคขนาดเล็ก
เข้าสู่สภาจ านวนมากที่สุดคือ ระบบเลือกตั้งปี 2560 ตามมาด้วยระบบเลือกตั้งปี 2550
(แก้ไขเพิ่มเติม) ระบบเลือกตั้ง 2550 และระบบเลือกตั้ง 2540 ตามล าดับ อย่างไรก็ตามต้องตระหนัก
ในประเด็นส าคัญว่าล าพังระบบเลือกตั้งมิใช่ปัจจัยชี้ขาดที่จะตัดสินว่าพรรคการเมืองขนาดเล็กจะชนะ
เลือกตั้งเข้าสู่สภามากน้อยเพียงใด เพราะขึ้นอยู่กับบริบททางการเมืองและความขัดแย้งในสังคม
ณ ขณะนั้น รวมถึงพฤติกรรมของผู้เลือกตั้ง
กล่าวเฉพาะในส่วนของระบบเลือกตั้ง การศึกษาเปรียบเทียบพบว่ากลไกที่ส าคัญที่จะเอื้อให้
พรรคเล็กมีที่นั่งในสภาได้คือ เพดานขั้นต่ าในระบบบัญชีรายชื่อ โดยเพดานร้อยละ 5 ตามรัฐธรรมนูญ
ปี 2540 ท าให้พรรคขนาดเล็กมีโอกาสน้อยในการเข้าสู่สภา ในขณะที่การไม่มีเพดานขั้นต่ าเลยใน
รัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 เปิดโอกาสให้พรรคขนาดเล็กมากขึ้น กลไกถัดมาคือสัดส่วนที่นั่ง
ระหว่างระบบเขตกับระบบบัญชีรายชื่อ การก าหนดให้มีผู้แทนในระบบบัญชีรายชื่อมากขึ้นจะช่วยเพิ่ม
โอกาสให้พรรคเล็กแข่งขันได้มากขึ้น เนื่องจากโดยทั่วไปพรรคขนาดเล็กแข่งขันในระบบเขตได้ยาก
(ยกเว้นเป็นพรรคท้องถิ่นแบบพรรคพลังชล เป็นต้น) ระบบเลือกตั้งปี 2550 (แก้ไขเพิ่มเติม) และ
2560 ที่มีส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 และ 150 คนตามล าดับช่วยเพิ่มโอกาสให้พรรคขนาดเล็กมากขึ้น
กลไกที่สามที่ส าคัญคือ ขนาดของเขตเลือกตั้งทั้งในระบบเขตและบัญชีรายชื่อ โดยเขตเลือกตั้ง
ในระบบเขตแบบเขตเดียวคนเดียวท าให้พรรคเล็กแข่งขันได้มากกว่าระบบแบบเขตเดียวหลายคน
ส่วนระบบบัญชีรายชื่อแบบเขตเลือกตั้งทั้งประเทศเปิดโอกาสให้พรรคเล็กแข่งขันได้มากกว่า
เขตเลือกตั้งแบบภูมิภาค (กลุ่มจังหวัด)
ประเด็นส าคัญที่ต้องค านึงถึงในการออกแบบระบบเลือกตั้งเพื่อเปิดโฮกาสให้พรรคขนาดเล็ก
คือ การมีพรรคขนาดเล็กที่มากเกินไปมิได้น าไปสู่คุณภาพประชาธิปไตยเสมอไป รวมทั้งอาจไป
บั่นทอนเป้าหมายประการอื่นที่ส าคัญด้วย ได้แก่ เสถียรภาพทางการเมืองและความเข้มแข็งของระบบ
พรรคการเมือง นอกจากนั้นการมีพรรคการเมืองขนาดเล็กจ านวนมากแต่พรรคเหล่านั้นมิได้มีนโยบาย
ทางเลือกให้กับสังคมก็เป็นสภาวะที่มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคุณภาพของระบอบประชาธิปไตย
เช่นกัน เพราะพรรคการเมืองเหล่านั้นไม่ได้เป็นตัวแทน (representation) สะท้อนข้อเรียกร้อง
เชิงนโยบายของกลุ่มสังคม แต่กลายสภาพเป็นกลุ่มผลประโยชน์ (interest groups) ที่ใช้ที่นั่งในสภา
เพื่อต่อรองอ านาจและผลประโยชน์เฉพาะตน ดังเช่นที่เกิดขึ้นในรัฐสภาที่เป็นผลจากระบบเลือกตั้งปี
2560