Page 81 - b29416_Fulltext
P. 81
79
ตารางที่ 20 : เปรียบเทียบบัตรเสียจากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 ถึง 2562
จ านวนบัตรเสีย จ านวนบัตรเสีย
การเลือกตั้ง ระบบเลือกตั้ง
เขต บัญชีรายชื่อ รวมสองระบบ
2544 2540 2,992,081 745,829 3,737,910
(10.01%) (2.49%) (6.25%)
2548 2548 1,938,590 935,586 2,874,176
(5.99%) (2.89%) (4.44%)
2550 2550 837,775 1,823,436 2,661,211
(2.56%) (5.56%) (4.06%)
2554 2550 2,040,261 1,726,768 3,767,029
(แก้ไขเพิ่มเติม) (5.79%) (4.90%) (5.345%)
2562 2560 2,137,762 - 2,137,762
(5.58%) (5.58%)
ที่มา: ส านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (2544, 2548, 2550, 2554, 2562)
สรุป
ระบบเลือกตั้งแต่ละระบบไม่ได้ท าให้เกิดบัตรเสียมากและน้อยต่างกันอย่างมีนัยส าคัญ
แต่การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งถี่เกินไปท าให้ประชาชนเกิดความสับสนในการลงคะแนนได้ รวมกับ
การใช้เกณฑ์วินิจฉัยบัตรเสียที่เคร่งครัดโดยไม่พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของประชาชนก็ท าให้บัตรเสีย
มีปริมาณสูง นอกจากนั้นพบว่าบัตรเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อแบบใช้เขตเลือกตั้งทั้งประเทศ
ท าให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายและใช้สิทธิไม่ค่อยผิดพลาด
ข้อควรค านึงในการออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ จึงควรเป็นระบบเลือกตั้งที่ไม่ยากเกินไป
ต่อความเข้าใจของประชาชน ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบระบบเลือกตั้งต่างๆ ที่ประเทศไทยใช้มา
นับจากปี 2544 ถึงปัจจุบัน ประชาชนคุ้นเคยกับระบบเลือกตั้งแบบผสมที่มีบัตร 2 ใบ (เลือกผู้แทน
ในระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่ออย่างละใบ) เพราะใช้ในการเลือกตั้งมาแล้วถึง 4 ครั้ง ระบบ
เลือกตั้งแบบผสมแบบบัตร 2 ใบจึงตอบโจทย์ในเรื่องความง่ายต่อความเข้าใจของผู้ลงคะแนน
14. ข้อเสนอในการปฏิรูป: ระบบเลือกตั้งผสมแบบสัดส่วนเพื่อลดความขัดแย้งและเสริมสร้าง
คุณภาพประชาธิปไตย
จากการเปรียบเทียบระบบเลือกตั้งที่สังคมไทยใช้มาตั้งแต่หลังการปฏิรูปการเมืองปี 2540
คงเห็นข้อสรุปชัดเจนแล้วว่าแต่ละระบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป บางระบบมีจุดเด่นในการ
สร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่และเสริมสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล แต่ก็ยังมี
ข้อด้อยในเรื่องความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่งและการเปิดโอกาสให้กับพรรคเล็ก
นั่นก็คือ ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนานตามรัฐธรรมนูญ 2540 ในขณะที่ระบบเลือกตั้งปี 2560

