Page 52 - b29416_Fulltext
P. 52

50


                          อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลการเลือกตั้งที่เป็นจริงพบว่า ความไม่เป็นสัดส่วนยังคงปรากฏ

                   อยู่ เนื่องจากมีพรรคที่ได้ที่นั่งส่วนเกิน (overhang seat) ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่พรรคการเมือง
                   หนึ่งๆ ชนะการเลือกตั้งในระบบเขตได้ ส.ส. เกินกว่าจ านวน ส.ส. พึงมีทั้งหมดที่พรรคควรจะได้

                   ซึ่งในครั้งนี้กรณีที่นั่งส่วนเกินเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยซึ่งชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่หนึ่ง ได้คะแนน

                   รวมทั้งสิ้นร้อยละ 22.16 (ซึ่งระบบจัดสรรปันส่วนผสมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัยคิด
                   จากคะแนนในระบบเขตของทุกพรรครวมกัน เพราะมีบัตรเลือกตั้งในระบบเขตเท่านั้น ไม่มีบัตรบัญชี

                   รายชื่อ) ซึ่งเมื่อค านวณจ านวน ส.ส. พึงมีแล้ว พรรคเพื่อไทยจะต้องได้ ส.ส. พึงมีเท่ากับ 110.6 ที่นั่ง
                   (คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2562) แต่ชนะระบบเขไปแล้วถึง 136 ที่นั่งจึงจะไม่ได้รับการจัดสรร ส.ส.

                   บัญชีรายชื่ออีก และในกรณีนี้พรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งส่วนเกินไป 25.4 ที่นั่ง (136-110.6) จึงเกิดความ
                   ไม่เป็นสัดส่วนขึ้น

                          ข้อมูลในตารางที่ 6 ชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงไม่ได้บรรลุเป้าหมายเรื่องความเป็น

                   สัดส่วนอย่างที่คณะกรรมการร่างฯ มุ่งหมายไว้ เนื่องจากมีพรรคที่ได้ที่นั่งเกินสัดส่วนคะแนนที่ได้รับ
                   ถึง 12 พรรค มากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งในประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งไทย และมีพรรคที่ได้ที่นั่ง

                   น้อยกว่าสัดส่วนคะแนนที่ได้รับถึง 12 พรรค มากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งในประวัติศาสตร์

                   ของการเลือกตั้งไทยเช่นกัน โดยมีพรรคที่ได้ที่นั่งตามสัดส่วนคะแนนจริงๆ เพียง 2 พรรคคือ
                   พรรคพลังท้องถิ่นไทและประชาภิวัฒน์

                          ปัญหาหลักของความไม่เป็นสัดส่วนเกิดจาก 2 ปัจจัยคือ ประการแรก การที่ระบบเลือกตั้งปี
                   2560 ก าหนดให้จ านวนที่นั่งในระบบเขตเป็นสัดส่วนที่มากกว่าระบบบัญชีรายชื่อมากคือ 70:30

                   ในขณะที่ในประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้การเลือกตั้งในระบบผสมจะใช้สัดส่วน 60:40 หรือ 50:50 แบบ
                   เยอรมนี (Reynolds, Reily, and Ellis 2005, 91) ท าให้ไม่มีที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อมากพอที่จะ

                   ชดเชยให้กับทุกพรรคอย่างเหมาะสม และมีโอกาสที่จะเกิดที่นั่งส่วนเกินในระบบเขตได้ง่าย (เนื่องจาก

                   จ านวน ส.ส. เขตมากย่อมมีโอกาสสูงที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่จะชนะในระบบเขตมากกว่าจ านวน
                   ส.ส. พึงมีของพรรค) ประการที่สอง ระบบเลือกตั้งปี 2560 ก าหนดให้พรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งส่วนเกิน

                   สามารถเก็บที่นั่งส่วนเกินไว้ได้ แต่ไม่ได้ก าหนดให้ชดเชยที่นั่งส่วนเกินให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ
                   เพื่อสร้างความเป็นสัดส่วนให้เกิดขึ้นกับทุกพรรคอย่างแท้จริง แตกต่างจากประเทศเยอรมนี

                   ที่เมื่อพรรคการเมืองใดได้ที่นั่งส่วนเกิน จะต้องมีการชดเชยที่นั่งให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ ตามสัดส่วน

                   ด้วย แต่ก็จะสร้างปัญหาตามมาคือ จ านวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดจะไม่นิ่ง และอาจจะขยายใหญ่มาก
                   ก็ย่อมได้ (ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายให้กับจ านวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้น)

                   ดังที่ปรากฏในการเลือกตั้งของเยอรมนีในระยะหลัง (Zittel 2018) ส าหรับการเลือกตั้ง 2562 หากจะ
                   สร้างความเป็นสัดส่วนจริง ต้องชดเชยที่นั่งให้กับพรรคการเมืองอื่นจากการที่พรรคเพื่อไทยได้ที่นั่ง

                   ส่วนเกินร้อยละ 5.04 ด้วย
   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57