Page 55 - b29416_Fulltext
P. 55
53
พรรคการเมืองที่ตนเองชอบ พรรคใดได้คะแนนสัดส่วนเท่าใดก็ได้ ส.ส. จ านวนเท่านั้น โดยไม่ต้องมี
การหักลบหรือชดเชยกับระบบเขต และดังนั้นจะไม่มีปัญหาที่นั่งส่วนเกิน และเนื่องจากไม่มี
การแข่งขันในระบบ ส.ส. เขต ก็จะไม่มีคะแนนตกน้ าเลย (หมายถึงคะแนนของพรรคที่แพ้
ในการแข่งขัน ส.ส. เขต) โดยยิ่งใช้บัญชีรายชื่อแบบเขตเลือกตั้งทั้งประเทศก็จะมีความเป็นสัดส่วน
ที่สมบูรณ์ที่สุด ตัวอย่างคือประเทศเนเธอร์แลนด์ ในระบบเช่นนี้ความไม่เป็นสัดส่วนจะเกิดขึ้นได้บ้าง
หากมีการก าหนดเพดานขั้นต่ า อย่างไรก็ตาม ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนเช่นนี้มีจุดอ่อนคือ จะท าให้มี
พรรคการเมืองจ านวนมากเข้าสู่สภา และพรรคขนาดเล็กจะมีอ านาจต่อรองสูงเกินสัดส่วนคะแนน
ที่พรรคได้รับ นอกจากนั้นจุดอ่อนที่ส าคัญอีกประการคือ การไม่มีผู้แทนในระบบเขตเลย ย่อมท าให้
ขาดความเชื่อมโยงระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนในเขตพื้นที่ และยากที่จะสร้างให้เกิด
ความรับผิด (accountability) ของนักการเมืองต่อประชาชน (Andeweg 2008)
ดังนั้น ข้อควรค านึงในการออกแบบคือ หากเป้าหมายหลักคือความเป็นสัดส่วน ระบบ
เลือกตั้งแบบสัดส่วนที่มีแต่บัญชีรายชื่อจะเหมาะสมที่สุด แต่หากเลือกใช้ระบบเลือกตั้งแบบผสม
อย่างไรเสียก็จะเกิดความไม่เป็นสัดส่วนเกิดขึ้น โดยระบบผสมแบบคู่ขนาน (หรือที่เรียกว่าระบบผสม
แบบเสียงข้างมาก MMA) ที่ไทยใช้ โดยปรกติจะมีความไม่เป็นสัดส่วนมากกว่าระบบผสมแบบสัดส่วน
(MMM) ที่ใช้ในประเทศเยอรมนี นิวซีแลนด์ ฯลฯ ในขณะที่ระบบเลือกตั้งปี 2560 นั้นเป็นระบบที่ขาด
ความเป็นสากลและสับสน ไม่มีประเทศใดในโลกใช้ เพราะมี ส.ส. สองประเภทแต่มีบัตรใบเดียว
แม้จะท าให้มีความเป็นสัดส่วนอยู่บ้าง แต่ก็ก่อปัญหาประการอื่นตามมามากมาย ทั้งยังเปิดโอกาสให้
พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ที่นั่งเกินส่วนเช่นเดียวกับระบบผสมแบบคู่ขนาน
ข. ความเข้มแข็งและเสถียรภาพของรัฐบาล
ความเข้มแข็งและเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นเป้าหมายส าคัญประการหนึ่งในการออกแบบ
ระบบเลือกตั้ง และส่งผลต่อคุณภาพของประชาธิปไตย เพราะความไร้เสถียรภาพและอ่อนแอของ
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีผลท าให้ประชาชนเบื่อหน่ายต่อการเมือง และขาดความศรัทธา
ต่อระบอบประชาธิปไตย ดังที่เคยเกิดขึ้นในการเมืองไทยก่อนการปฏิรูปการเมืองปี 2540 ที่รัฐบาล
จากการเลือกตั้งบริหารประเทศเพียง 1 ปีหรือ 2 ปีก็เกิดความขัดแย้งจนนายกฯ ต้องลาออกหรือ
ตัดสินใจยุบสภาโดยที่ยังไม่มีโอกาสผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน การเลือกตั้งเกิดขึ้น
บ่อยครั้งจนประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่มิได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ
ชีวิตของตนเอง รัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองจ านวนมากยังเป็นอุปสรรคส าคัญ
ในการผลิตและผลักดันนโยบายอย่างมีเอกภาพ (policy coherence)
ก่อนที่จะมีการแก้ไขระบบเลือกตั้งมาเป็นระบบผสมแบบคู่ขนานตามรัฐธรรมนูญปี 2540
รัฐบาลจากการเลือกตั้งของไทยล้วนเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคที่มีอายุสั้น ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการ
ใช้ระบบเลือกตั้งแบบบล็อกโหวต เขตเดียวหลายคนที่ท าให้พรรคการเมืองมีความอ่อนแอ โดยรัฐบาล
ผสมที่ตั้งขึ้นระหว่างปี 2535-2544 ก่อนการใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนาน ประกอบด้วย