Page 60 - b29416_Fulltext
P. 60

58


                          ค. ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง (party system)

                          ในการศึกษาวิจัยเรื่องระบบเลือกตั้ง ข้อสรุปประการหนึ่งที่ชัดเจนคือ ระบบพรรคการเมืองใน
                   แต่ละประเทศจะเป็นเช่นใดเป็นผลลัพธ์ของปัจจัยหลายประการประกอบกัน ตั้งแต่ภูมิหลังและ

                   พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมทางการเมือง โครงสร้างชนชั้นน า ลักษณะของการแบ่งแยก

                   ทางสังคม และความขัดแย้งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ทางวิชาการที่สั่งสมมาอย่าง
                   ยาวนานมีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าระบบเลือกตั้งเป็นปัจจัยที่ส าคัญที่สุดประการหนึ่งในการก าหนดลักษณะ

                   ของระบบพรรคการเมือง (Duverger 1954; Moser, Scheiner, and Stoll 2018; Shugart and
                   Taagepera 2018) คือ แต่ละสังคมจะมีระบบการเมืองแบบพรรคเด่นพรรคเดียว ระบบ 2 พรรค

                   ระบบหลายพรรคแบบมีเสถียรภาพ หรือระบบหลายพรรคแบบกระจัดกระจายเป็นสิ่งที่ถูกก าหนด
                   จากระบบเลือกตั้งเป็นปัจจัยส าคัญ

                          เริ่มต้นจากการพิจารณาเปรียบอย่างง่ายก่อน (ดูตารางที่ 9) จะพบว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้ง

                   ท าให้จ านวนพรรคการเมืองเข้าสู่สภาที่แตกต่างกันดังนี้ การเลือกตั้งปี 2544 ซึ่งใช้ระบบเลือกตั้งผสม
                   แบบคู่ขนานครั้งแรก มีพรรคการเมืองจ านวน 9 พรรคเข้าสู่สภา ในขณะที่การเลือกตั้งปี 2548 ซึ่งใช้

                   ระบบเลือกตั้งแบบเดียวกันมีพรรคการเมืองเหลือ 4 พรรคเข้าสู่สภา การเลือกตั้งปี 2550 ใช้ระบบ

                   เลือกตั้งผสมแบบคู่ขนาน (แต่เปลี่ยนเขตเลือกตั้งทั้งในระบบเขตและบัญชีรายชื่อ และปรับสัดส่วน
                   ที่นั่งของทั้งสองระบบ) มีพรรคการเมืองเพิ่มกลับมาเป็น 7 พรรค ส่วนการเลือกตั้งปี 2554 ซึ่งใช้ระบบ

                   เลือกตั้งของปี 2550 แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนเขตเลือกตั้งทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ และปรับสัดส่วน
                   ที่นั่งอีกครั้ง พรรคการเมืองเพิ่มขึ้นมาเป็น 11 พรรค สุดท้ายระบบจัดสรรปันส่วนผสมในการเลือกตั้งปี

                   2562 ท าให้มีพรรคการเมืองเข้าสู่สภามากเป็นประวัติศาสตร์ถึง 26 พรรค
                          หากดูเฉพาะจ านวนพรรคการเมืองอาจจะไม่เห็นความแตกต่างมากนักของการเปลี่ยนระบบ

                   เลือกตั้งจากระบบบล็อกโหวตมาเป็นระบบผสมแบบคู่ขนานในรัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะหาก

                   ย้อนหลังกลับไปดูจ านวนพรรคการเมืองที่เข้าสู่สภาระหว่างการเลือกตั้งปี 2529-2539 พบว่ามีจ านวน
                   พรรคการเมืองเข้าสู่สภาดังนี้ (ดูตารางที่ 9) เท่ากับว่าจ านวนพรรคการเมือง 9 พรรคที่ชนะ

                   การเลือกตั้งได้มีที่นั่งในรัฐสภาในการเลือกตั้งปี 2544 ไม่ได้แตกต่างจากการแข่งขันภายใต้ระบบ
                   เลือกตั้งแบบเก่ามากนัก แต่ถ้าพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่าความแตกต่างอย่างชัดเจน

                   เพราะระบบเลือกตั้งแบบใหม่ในปี 2540 ท าให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่มีความเข้มแข็งมากขึ้น

                   โดยพรรคที่ชนะอันดับ 1 และอันดับ 2 มีที่นั่งทิ้งห่างอันดับรองๆ ลงไปมากอย่างมีนัยส าคัญ กระทั่ง
                   พรรคที่ชนะอันดับ 1 อย่างพรรคไทยรักไทยเกือบสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เพราะได้ที่นั่งคิด

                   เป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 49.6 ของสภา ในขณะที่พรรคที่ชนะอันดับ 1 ในการเลือกตั้งภายใต้ระบบบล็อก
                   โหวตได้สัดส่วนที่นั่งสภาเพียงร้อยละ 21.9-31.8 ในมิตินี้จึงเห็นได้ชัดเจนว่าระบบเลือกตั้งผสมแบบ

                   คู่ขนานท าให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่มีความเข้มแข็งขึ้นทั้งพรรคไทยรักไทยที่ชนะเป็นอันดับ 1 และ

                   พรรคประชาธิปัตย์ที่ชนะเป็นอันดับ 2
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65