Page 63 - b29416_Fulltext
P. 63
61
การเมืองที่มีที่นั่งในสภาเท่านั้นเพราะอาจให้ภาพที่บิดเบือนได้ ยกตัวอย่างเช่น การมีพรรคการเมือง 9
พรรคในสภามิได้หมายความว่าประเทศดังกล่าวมีระบบพรรคการเมืองแบบ 9 พรรค เพราะแต่ละ
พรรคอาจมีที่นั่งแตกต่างกันมากและดังนั้นจึงมีบทบาทส าคัญในสภาไม่เท่ากัน หากใน 9 พรรค
มีสองพรรคการเมืองได้ที่นั่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 80 และเหลือที่นั่งอีกร้อยละ 20 ให้อีก 7 พรรค
ที่เหลือไปแบ่งกัน สภาพเช่นนี้ย่อมหมายความว่าระบบพรรคการเมืองในประเทศนั้นมีพรรคที่มี
บทบาทส าคัญจริงๆ ทั้งในการเลือกตั้งและในสภา 2 พรรคหลักๆ ตัวเลขของค่าจ านวนพรรคการเมือง
ที่มีความส าคัญก็จะอยู่ที่ประมาณ 2 กว่าๆ แทนที่จะเป็นเลข 9 (กรณีที่ค่าจ านวนพรรคการเมืองเป็น
9 หมายความว่ามีพรรคการเมือง 9 พรรคที่มีส่วนแบ่งที่นั่งในสภาอย่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ระบบ
พรรคการเมืองที่มีเพียง 2 พรรคครองที่นั่งในสภาเบ็ดเสร็จและได้ที่นั่งพรรคละครึ่งหนึ่งในสภา ตัวเลข
ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีความส าคัญก็จะเท่ากับ 2)
จากข้อมูลในตารางที่ 10 และ 11 จะพบว่าหลังการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 ที่ใช้ระบบ
เลือกตั้งแบบใหม่ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมือง ท าให้พรรคการเมืองที่มีบทบาทส าคัญ
ในสภามีจ านวนลดน้อยลง เกิดพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีนโยบายและฐานเสียงชัดเจนแข่งขันกันทั้ง
ในการเลือกตั้งและการท าหน้าที่ในสภาซึ่งได้แก่พรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ข้อดีของ
สภาวะที่ระบบพรรคการเมืองเข้มแข็งและมีจ านวนพรรคส าคัญน้อยลง คือท าให้รัฐบาลมีเอกภาพ
ในทางนโยบาย ผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ตามสัญญาที่มีต่อประชาชน มีความรวดเร็วในการ
ขับเคลื่อนนโยบายและบริหารงาน และแก้ไขปัญหาของรัฐบาลผสมจ านวนหลายพรรคที่แต่ละพรรคมี
ที่นั่งต่างกันไม่มากนักจนก่อให้เกิดการต่อรองต าแหน่งและผลประโยชน์ในสภา และน าไปสู่รัฐบาลที่มี
อายุสั้น ท าให้ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนได้รวมทั้งปัญหาความไร้เสถียรภาพ
ของรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งที่ด ารงอยู่มาอย่างยาวนานจนเป็นลักษณะส าคัญ
ของการเมืองไทยก่อนปี 2540 โดยที่ก่อนการปฏิรูปการเมือง ระบบเลือกตั้งแบบบล็อกโหวตท าให้เกิด
การแข่งขันในพรรคและความอ่อนแอในพรรคการเมือง เกิดเป็นมุ้งการเมืองย่อยจ านวนมาก ดังที่
พบว่าค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญก่อนปี 2540 นั้นสูงถึง 6.2 พรรค (Siripan 2006)
ซึ่งหมายความว่าไม่มีพรรคใดชนะเลือกตั้งจากประชาชนในสัดส่วนที่สามารถสร้างเป็นพรรค
ขนาดใหญ่ได้ พรรคขาดฐานเสียงที่ชัดเจน ประชาชนขาดความผูกพันเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง
แต่กลับผูกพันกับตระกูลการเมือง ตัว ส.ส. และหัวคะแนน และจะย้ายความภักดีทางการเมือง
ตามตัวบุคคลมากกว่าเลือกที่นโยบายพรรคการเมือง พรรคการเมืองล้มและยกเลิกกิจการได้ง่ายเมื่อ
เลือกตั้งไม่ประสบความส าเร็จเนื่องจากเกิดจากการรวมตัวกันชั่วคราวของกลุ่มผลประโยชน์
จ านวนหนึ่ง (สมบัติ 2536; McVey 2000; McCargo 2002; Nelson 2005; สติธร 2562) การมี
พรรคการเมืองถึงประมาณ 6 พรรคที่มีจ านวนที่นั่งในสัดส่วนที่ไม่ได้ต่างกันมากในการเลือกตั้ง
แต่ละครั้ง ท าให้การตั้งรัฐบาลใช้เวลานาน เต็มไปด้วยการต่อรองทั้งในช่วงตั้งรัฐบาลและระหว่าง
การบริหารงาน