Page 66 - b29416_Fulltext
P. 66

64


                          สรุป

                          ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนานตามรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 และ 2550 ฉบับแก้ไข
                   เพิ่มเติม ท าให้ระบบพรรคการเมืองไทยเข้าใกล้ระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคที่มี 2 พรรค

                   การเมืองเด่น โดยระบบพรรคการเมืองค่อนข้างมีความเสถียร คือ มีพรรคการเมืองเข้าสู่สภา 7-11

                   พรรค และมีพรรคการเมืองที่มีบทบาทส าคัญในการเลือกตั้งและในเวทีรัฐสภา 2 ถึง 3 พรรค ในช่วง
                   เวลาดังกล่าวมีเพียงการเลือกตั้งปี 2548 เท่านั้นที่การเมืองไทยมีลักษณะเบี่ยงเบนออกไปจากแบบ

                   แผนนี้ กล่าวคือ เข้าใกล้ความเป็นพรรคเด่นพรรคเดียว (one dominant party) และมี
                   พรรคการเมืองเข้าสู่สภาเพียง 4 พรรค แต่แบบแผนที่แตกต่างนี้เป็นผลจากบริบททางการเมือง

                   ที่มีลักษณะเฉพาะตัวสูง คือ กระแสความนิยมในรัฐบาล ณ ขณะนั้น คือ รัฐบาลของนายกฯ ทักษิณ
                   ชินวัตร จากพรรคไทยรักไทยที่สามารถด ารงต าแหน่งจนครบวาระ 4 ปีและมีความนิยมสูง จึงท าให้

                   พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กหลายพรรคยุบรวมพรรคตัวเองไปเข้ากับพรรคไทยรักไทย

                   จนท าให้พรรคไทยรักไทยมีขนาดใหญ่กว่าปรกติในการเลือกตั้งปี 2548 แต่ในการเลือกตั้งปี 2550
                   และ 2554 จะพบว่าแบบแผนของพรรคเด่นพรรคเดียวนี้มิได้ปรากฏอีกต่อไป ทั้งนี้ ระบบเลือกตั้ง

                   ที่สร้างผลกระทบที่แตกต่างต่อระบบพรรคการเมืองอย่างมาก คือ ระบบเลือกตั้ง 2560 ที่ท าให้

                   การเมืองไทยกลับไปสู่สภาพระบบหลายพรรคแบบกระจัดกระจายอีกครั้งหนึ่งในแบบที่เคยเกิดขึ้น
                   ก่อนการปฏิรูปการเมือง 2540

                          ข้อควรค านึงในการออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ในมิติของพรรคการเมืองคือ ต้องเริ่มจากหลัก
                   คิดว่าการมีพรรคเด่นพรรคเดียวในตัวเองไม่ใช่ปัญหา เพราะหลายประเทศในระบอบประชาธิปไตย

                   แบบรัฐสภาก็มีระบบพรรคเด่นพรรคเดียว เช่น ในประเทศสิงคโปร์ หรือประเทศญี่ปุ่น (Singh 2019;
                   Nakakita 2020) การมีพรรคเด่นพรรคเดียวมิจ าเป็นต้องน าไปสู่การเพิ่มความขัดแย้งในสังคม

                   แต่ประการใด ปัญหาอยู่ที่ความเป็นสัดส่วนระหว่างที่นั่งและคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับ

                   หากพรรคเด่นพรรคเดียวหรือสองพรรคใหญ่ได้ที่นั่งมากเกินกว่าสัดส่วนคะแนนเสียงที่พรรคได้รับ
                   ย่อมน าไปสู่ความไม่พอใจของพรรคอันดับรองลงไปที่รู้สึกว่าการจัดสรรที่นั่งขาดความเป็นธรรม

                   และท าให้เสียงของประชาชนที่เลือกพวกเขาได้รับการสะท้อนในสภาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้
                   ในสังคมไทยปัจจุบันที่มีลักษณะการแบ่งแยกแตกขั้วสูง (deep polarization) การมีพรรคเด่น

                   พรรคเดียวที่ได้ที่นั่งเกินกว่าสัดส่วนคะแนนที่ตนเองได้รับ มีความเสี่ยงที่จะน าไปสู่ความรู้สึกว่า

                   ประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากที่ด ารงอยู่นั้นเป็นระบบที่ก่อให้เกิดภาวะผู้ชนะได้หมดและผู้แพ้
                   เสียหมด (winner takes all) และยากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผ่านระบบรัฐสภาได้

                   ท าให้คนจ านวนหนึ่งอาจจะเสียศรัทธาต่อระบบเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยโดยรวม ซึ่งปัญหา
                   ส าคัญนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของหลายสังคมทั่วโลกในยุคปัจจุบัน (Bermeo

                   2016; Haggard and Kaufman 2021)
   61   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71