Page 64 - b29416_Fulltext
P. 64

62


                          ในช่วงการเลือกตั้งปี 2544 ถึง 2554 ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญอยู่ระหว่าง

                   1.65-3.05 โดยการเลือกตั้งที่ท าให้เกิดค่าจ านวนพรรคการเมืองส าคัญน้อยสุดคือการเลือกตั้งปี 2548
                   ที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

                   เนื่องจากมีที่นั่งในสภาสูงถึงร้อยละ 75.4 (377 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง) ทิ้งห่างพรรคอันดับ 2 คือ

                   พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ที่นั่งในสภาเพียงร้อยละ 19.2 ท าให้การเมืองไทยเหลือพรรคเด่นพรรคเดียว
                   มากกว่าที่จะเป็นระบบสองพรรคที่มีการแข่งขันสูสีและมีที่นั่งในสภาใกล้เคียงกันสะท้อนจาก

                   ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญลดลงเหลือเพียง 1.65 ซึ่งถือว่าต่ าที่สุดในประวัติศาสตร์
                   สะท้อนว่าเป็นครั้งแรกที่ระบบพรรคการเมืองไทยมีลักษณะเข้าใกล้พรรคเด่นพรรคเดียวเป็นครั้งแรก

                   (และครั้งสุดท้าย) การเลือกตั้งอีก 3 ครั้งที่เหลือคือ 2544, 2550 และ 2554 ค่าจ านวนพรรคการเมือง
                   ที่มีนัยส าคัญมีความใกล้เคียงกันคือ 3.05, 2.77 และ 2.57 ตามล าดับ (ดูตารางที่ 12) สะท้อนภาวะที่

                   มีพรรคเด่นสองพรรคในช่วงนี้โดยมีพรรคที่ได้อันดับ 3 และพรรคอื่นๆ ที่เหลือเป็นเพียงพรรคขนาดเล็ก


                   ตารางที่ 12 : ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญระหว่างการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544-2562


                                      การเลือกตั้ง        ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญ
                                         2544                          3.05

                                         2548                          1.65
                                         2550                          2.77

                                         2554                          2.57
                                         2562                          5.644

                      ที่มา: ค านวณจากผลการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544-2562


                          ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในการเลือกตั้งปี 2562 ที่ใช้ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรร
                   ปันส่วนผสมโดยมีบัตรใบเดียว ท าให้ระบบพรรคการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างส าคัญ

                   ผลการเลือกตั้งท าให้มีพรรคการเมืองเข้าสู่สภาถึง 26 พรรค โดยจ านวนพรรคที่มากสูงที่สุด

                   เป็นประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งไทยนี้ เป็นผลโดยตรงจากระบบเลือกตั้งที่ความตั้งใจของผู้ร่าง
                   รัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้ระบบพรรคการเมืองของไทยมีลักษณะแบบพรรคเด่นพรรคเดียว

                   และต้องการให้เกิดความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนกับที่นั่ง (ดังค าที่ใช้ในเอกสารของคณะกรรมการ
                   ร่างรัฐธรรมนูญที่ว่า “ทุกคะแนนที่ประชาชนลงเลือกตั้งจะไม่ถูกทิ้ง” ซึ่งสื่อมวลชนได้น าไปใช้ขยาย

                   ความต่อในภาษาเข้าใจง่ายว่า “คะแนนไม่ตกน้ า”)  จึงไม่มีการก าหนดเพดานขั้นต่ าของสัดส่วน
                                                               30
                   คะแนนที่พรรคการเมืองจะต้องได้รับเพื่อเข้าสู่สภาและเปลี่ยนจากระบบผสมแบบคู่ขนานที่มีแนวโน้ม




                   30  ดูเอกสารของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ, ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกสมาชิกวุฒิสภาใหม่
                   (กรุงเทพฯ: ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560); “‘มีชัย’ แจงเหตุผล 7 ข้อ ย้ าถึงวิธีคิดระบบเลือกตั้งแบบใหม่,” กรุงเทพ
                   ธุรกิจ, 2 พ.ย. 2558 https://www.bangkokbiznews.com/politics/672540
   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68   69