Page 61 - b29416_Fulltext
P. 61
59
ในการเลือกตั้งปี 2550 และ 2554 ที่มีการเปลี่ยนรายละเอียดในแง่เขตเลือกตั้ง สัดส่วนที่นั่ง
ระหว่างส.ส.บัญชีรายชื่อและเขต และเพดานขั้นต่ าในการระบบบัญชีรายชื่อ ผลปรากฏว่าพรรคขนาด
ใหญ่ที่ชนะมาเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ยังคงมีสัดส่วนที่นั่งในสภาที่ค่อนข้างสูงทิ้งห่างพรรคอันดับ
ถัดๆ ไป โดยพรรคพลังประชาชนและเพื่อไทย (ที่เปลี่ยนชื่อมาจากพรรคไทยรักไทย) ได้ที่นั่งในสภา
ในสัดส่วนใกล้เคียงกับการเลือกตั้งปี 2544 ที่พวกเขาลงเลือกตั้งครั้งแรก (โดยได้ร้อยละ 48.54 และ
53 ตามล าดับ) ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ท าผลงานได้ดีกว่าเดิมโดยได้ที่นั่งร้อยละ 34.17 และ 31.8
ตามล าดับ ดังนั้นการเปลี่ยนรายละเอียดเพียงเล็กน้อยโดยยังคงระบบผสมแบบบัตร 2 ใบไว้
ส่งผลให้พรรคขนาดใหญ่ยังคงเข้มแข็งและได้เปรียบในการเลือกตั้งเช่นเดิม (ส่วนกลไกส าคัญที่จะ
เปิดโอกาสให้พรรคขนาดเล็กได้ที่นั่งเข้าสู่สภามากขึ้นคือ เพดานขั้นต่ าและจ านวนที่นั่งในระบบบัญชี
รายชื่อ ดังจะกล่าวต่อไปในข้อที่ 5)
ในการเลือกตั้งระหว่างปี 2544 ถึง 2554 ที่ใช้ระบบผสมแบบคู่ขนาน พรรคขนาดกลางได้
ที่นั่งเข้าสู่สภาในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับพรรคขนาดใหญ่อันดับ 1 และ 2 โดยพรรคที่ได้
อันดับ 3 มีจ านวน ส.ส. ในสภาคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ถึง 8.2 ซึ่งได้แก่พรรคชาติไทย (ในการ
เลือกตั้ง 2544, 2548 และ 2550) และพรรคภูมิใจไทย (ในการเลือกตั้ง 2562) ในขณะที่พรรคอันดับ
4 ในการเลือกตั้งปี 2544 ได้ที่นั่งร้อยละ 7.2 (ความหวังใหม่) การเลือกตั้งปี 2548 ได้ที่นั่งร้อยละ 0.4
(มหาชน) ในการเลือกตั้งปี 2550 ได้ที่นั่งร้อยละ 5 (เพื่อแผ่นดิน) และในการเลือกตั้งปี 2554 ได้ที่นั่ง
ร้อยละ 3.8 (ชาติไทย)
โดยสรุป การแข่งขันเลือกตั้งทั่วไประหว่างปี 2544 ถึง 2554 การเมืองไทยได้เคลื่อนเข้าสู่
ระบบพรรคการเมืองที่ค่อนข้างมีความเสถียร (stable party system) คือมีพรรคขนาดใหญ่ 2 พรรค
แม้ว่าจะไม่ใช่ระบบสองพรรคอย่างสมบูรณ์ (two-party system) ในความหมายว่า 2 พรรครวมกัน
ได้คะแนนเสียงและที่นั่งในสัดส่วนเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ (Shugart and Taagepera 2018) แต่ก็มี
ลักษณะของพรรคเด่น 2 ขับเคี่ยวกัน (คือพรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทยกับพรรค
ประชาธิปัตย์) ในสนามการเลือกตั้งและมีโอกาสเป็นพรรคที่น าการจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อพิจารณาที่นั่ง
ที่สองพรรคใหญ่ได้รับนั้นสูงถึงร้อยละ 75.2 ถึง 94.6 ของสภา ในขณะที่คะแนนเสียงของสองพรรค
ใหญ่รวมกันก็สูงเช่นกันคืออยู่ระหว่าง 72.27 ถึง 93 (ดูตารางที่ 10 และ 11) โดยมีพรรคขนาดกลาง
อีก 2-3 พรรคที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะแข่งขันเพื่อเป็นแกนน าจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะได้คะแนนและที่นั่ง
ในสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก จึงเป็นพรรคที่เพียงขอต่อรองเพื่อเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคใหญ่พรรคใดพรรค
หนึ่งเป็นหลัก (ได้แก่พรรคความหวังใหม่ ชาติไทย ภูมิใจไทย ชาติพัฒนา เพื่อแผ่นดิน) แต่ด้วยจ านวน
ที่นั่งที่น้อยกว่าพรรคขนาดใหญ่มากท าให้อ านาจในการต่อรองและสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล
มีน้อย ในขณะที่พรรคขนาดเล็กมีโอกาสอันจ ากัดในการชนะการเลือกตั้งและมีอ านาจต่อรองน้อยถึง
ไม่มีเลยในการจัดตั้งรัฐบาล (ดูในข้อที่ 5)