Page 39 - b29416_Fulltext
P. 39

37


                          เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 มีผลท าให้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ถูกยกเลิก

                   ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารได้ยกเลิกระบบเลือกตั้งของ
                   ปี พ.ศ. 2540 และออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่มาแทนที่ โดยมีเป้าหมายคือการท าให้พรรคการเมือง

                   อ่อนแอลง เพื่อป้องกันไม่ให้มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาดจนสามารถตั้งพรรคการเมือง

                   พรรคเดียวได้ พยายามสร้างแรงจูงใจและบทลงโทษต่างๆ ที่ท าให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ ทั้งยัง
                   ท าให้พรรคการเมืองแตกตัวและมีที่นั่งกระจัดกระจาย และมุ่งให้พรรคการเมืองมีความเป็นพรรค

                   ระดับชาติน้อยลง (fragmented and less nationalization) ท าให้กลุ่มหรือมุ้งการเมืองได้อ านาจ
                   การต่อรองกลับคืนมา ท าให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารมีอ านาจน้อยลงกว่าอ านาจ

                   ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และยังมีการเปลี่ยนที่มาของวุฒิสภาจากการเลือกตั้งทั้งหมดไป
                   เป็นการเลือกตั้งผสมการแต่งตั้ง (โดยคณะกรรมการแต่งตั้งซึ่งมาจากคณะกรรมการอิสระและ

                   ฝ่ายตุลาการ) โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการดังกล่าวและไม่มีอ านาจเซ็นรับรองด้วย

                   นับว่าเป็นการลดอ านาจของฝ่ายบริหารไม่ให้อยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ท าให้วุฒิสภากลับไปเป็นฐาน
                   อ านาจของฝ่ายอนุรักษนิยมอีกครั้งหนึ่ง ดังที่เคยเป็นมาในสมัยก่อนรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540

                          ระบบเลือกตั้งที่ออกแบบโดยรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้ลดจ านวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ

                   จาก 100 คนเหลือเพียง 80 คน และเปลี่ยนระบบปาร์ตี้ลิสต์จากเขตเลือกตั้งทั่วประเทศไปเป็นเขต
                   เลือกตั้งภูมิภาคใช้ชื่อเรียกว่า “ระบบสัดส่วน” โดยแบ่งพื้นที่ประเทศไทยออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด

                   แต่ละกลุ่มจังหวัดมี ส.ส. จากระบบสัดส่วนได้ 10 คน (ประชาชน 1 คนมีสิทธิออกเสียง 1 เสียงเพื่อ
                   เลือกบัญชีรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่งในกลุ่มจังหวัดของตัวเอง) โดยการค านวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ

                   ใช้วิธีน าคะแนนที่ทุกพรรคการเมืองได้รับในกลุ่มจังหวัดนั้นมารวมกัน แล้วค านวณเพื่อหาสัดส่วน
                   ที่แต่ละพรรคได้รับ ผู้สมัครระบบสัดส่วนจะได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่ค านวณได้ เรียงตามล าดับ

                   หมายเลขในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง

                          การเปลี่ยนจากระบบบัญชีรายชื่อที่ใช้เขตเลือกตั้งทั้งประเทศมาเป็นกลุ่มจังหวัด มุ่งให้เกิดผล
                   ในการลดทอนขอบเขตความนิยมและความเข้มแข็งของพรรคการเมืองในระดับชาติ ตรงข้ามกับ

                   รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ที่มุ่งสร้างแรงจูงใจให้พรรคการเมืองสร้างพรรคระดับชาติ มีฐานเสียง
                   และฐานนโยบายครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่าการสร้างความนิยมแค่ในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค

                   ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญสุด คือ การเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งแบบเขต จากแบบเขตเดียว

                   คนเดียวกลับไปใช้ระบบเขตเดียวหลายคนเช่นเดียวกับการเลือกตั้งก่อนปี พ.ศ. 2540 ซึ่งนับว่าเป็น
                   การก้าวถอยหลังไปสู่การสร้างระบบพรรคการเมืองที่ไม่เข้มแข็ง สร้างแรงจูงใจให้เกิดมุ้งการเมือง

                   จ านวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และประสิทธิภาพในการจัดท าและ
                   ผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน (รังสรรค์ 2550)

                          นายกฯ มีอ านาจลดลงหลายประการในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 อาทิ  จ านวนเสียง

                   ขั้นต่ าในการโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯ ถูกลดลงให้เท่ากับรัฐมนตรีทั่วไป คือ เสียง 1 ใน 5 (มาตรา 158)
                   นอกจากนั้นยังมีการก าหนดวาระการด ารงต าแหน่งของนายกฯ เพียง 2 สมัย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44