Page 44 - b29416_Fulltext
P. 44
42
สรุปว่าระบบเลือกตั้งแบบใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 เป็นระบบที่มีปัญหา
ข้อบกพร่องมากมายและแทบไม่มีประเทศใดในโลกใช้แล้ว เพราะท าให้ปัญหาการซื้อเสียงเพิ่มขึ้น การ
แข่งขันดุเดือดรุนแรงขึ้น ระบบเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นกลับมา ผู้แทนฯ ที่ด้อยคุณภาพมีโอกาสเข้าสู่
สภาฯ มากขึ้น พรรคการเมืองอ่อนแอ เกิดรัฐบาลผสมที่ไร้เสถียรภาพและไร้ประสิทธิภาพในการ
บริหารประเทศ การต่อรองผลประโยชน์และต าแหน่งรัฐมนตรีระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกลับมาคึกคัก
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอ่อนแอ และการท างานของรัฐสภาโดยรวมก็อ่อนแอ
นอกจากระบบเลือกตั้งที่มีปัญหาแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ยังสร้างกลไกอย่างน้อย
2 ประการส าคัญที่ท าให้การเลือกตั้งครั้งนี้ขาดความเป็นประชาธิปไตย ได้แก่
1. การก าหนดให้ช่วง 5 ปีแรกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ วุฒิสมาชิกจ านวน 250 คน
ที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. (ซึ่งมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ 6 นายได้รับแต่งตั้งโดยอัตโนมัติ) มีอ านาจ
ในการเลือกนายกฯ เท่าเทียมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้นผู้ที่จะเป็นนายกฯ จึงต้องได้เสียงเกิน
กึ่งหนึ่งของทั้ง 2 สภารวมกัน (376 เสียงจาก 750 เสียง) ซึ่งท าให้ พล.อ. ประยุทธ์ในฐานะผู้ท้าชิง
ต าแหน่งนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐต้องการเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรเพียง 126 เสียง
(เนื่องจากมีเสียง สว. แล้ว 250 เสียง) การออกแบบเช่นนี้ท าให้วุฒิสภากลายสภาพเป็นพรรคการเมือง
ที่ใหญ่ที่สุดในระบบการเมืองไทย โดยไม่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง
2. การก าหนดให้แต่ละพรรคสามารถเสนอชื่อผู้ท้าชิงต าแหน่งนายกฯ ได้ 3 คน โดยบุคคล
เหล่านี้ไม่จ าเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับการเปิดช่องให้คนนอกที่ไม่ใช่ ส.ส. สามารถเป็น
ผู้แทนราษฎรได้ตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากนั้น ยังเปิดช่องทางให้รัฐสภาสามารถโหวตเลือก “นายก
คนนอก” ที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองได้หากไม่มีตัวแทนของพรรคใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง
จากรัฐสภา ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ที่ก าหนดให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น