Page 46 - b29416_Fulltext
P. 46
44
ก. ความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่ง (proportionality) หรือหลักความ
ยุติธรรมของคะแนน
ดังที่อธิบายไว้ในหัวข้อเป้าหมายของการเลือกตั้งว่า ในระยะหลังนักวิชาการและผู้ก าหนด
นโยบายหันมาใช้หลักความเป็นสัดส่วนเป็นเกณฑ์ในการตัดสินคุณภาพของระบบการเลือกตั้ง โดยเห็น
ว่าระบบการเลือกตั้งที่ดีควรสะท้อนความเป็นสัดสวนระหว่างคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับ
กับที่นั่งในสภา อย่างไรก็ตาม สังคมควรต้องตระหนักว่าหลักความเป็นสัดส่วนมิใช่เป้าหมาย
ประการเดียว และไม่จ าเป็นว่าเป็นเป้าหมายที่ส าคัญที่สุดเสมอไป เพราะในสังคมที่มีปัญหาเรื้อรัง
เรื่องฝ่ายบริหารอ่อนแอและขาดเสถียรภาพ เป้าหมายเรื่องเสถียรภาพอาจจะส าคัญกว่า ดังที่พบว่า
ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ยังคงเลือกใช้ระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก (majoritarian system)
เพราะต้องการสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็งและเสถียรภาพทางการเมือง และการผลักดันนโยบายได้อย่างมี
เอกภาพของรัฐบาลโดยไม่ต้องเผชิญกับการต่อรองและความขัดแย้งในรัฐบาลซึ่งมักจะเกิดจากรัฐบาล
ผสมที่เป็นผลผลิตของระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน โดยประเทศที่ใช้ระบบเสียงข้างมากตระหนักดี
ถึงความไม่เป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่งในระบบเลือกตั้งที่ตนเลือกใช้แต่ใคร่ครวญแล้วว่า
ผลลัพธ์เชิงบวกด้านความเข้มแข็งและเสถียรภาพทางการเมืองมีมากกว่า ฉะนั้น การออกแบบระบบ
เลือกตั้งโดยให้ความส าคัญกับความเป็นสัดส่วนเป็นหลักจึงอาจต้องแลกมาด้วยผลกระทบอย่างอื่น
ด้วยเสมอ (trade-offs) (Gallagher 1991; Blais 2008; Becher and Gonzalez 2019)
อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่มีความขัดแย้งแบ่งขั้วสูง เป้าหมายเรื่องความเป็นสัดส่วนถือว่ามี
ความส าคัญ เพราะการที่มีพรรคการเมืองแต่ละพรรคได้ที่นั่งมากเกินไปหรือน้อยเกินไปกว่าคะแนน
เสียงที่แต่ละพรรคได้รับเลือกจากผู้ลงคะแนน อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้สนับสนุนพรรค
การเมืองแต่ละพรรคได้ ยกตัวอย่างเช่น พรรคการเมือง A ได้คะแนนเสียงร้อยละ 20 จากผู้เลือกตั้ง
แต่ได้รับการจัดสรรที่นั่งในสภาเพียงร้อยละ 10 ภาวะเช่นนี้ย่อมท าให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมือง A
รู้สึกว่ามีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น หรืออีกกรณีหนึ่ง พรรคการเมือง B ได้คะแนนเสียงทั้งหมดคิดเป็น
ร้อยละ 40 แต่ได้รับการจัดสรรที่นั่งในสภาสูงถึงร้อยละ 60 ระบบเลือกตั้งที่ท าให้พรรคการเมืองขนาด
ใหญ่ได้ที่นั่งเกินสัดส่วนคะแนนที่ตนได้รับมากเช่นนี้ก็อาจท าให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองขนาดกลาง
และขนาดเล็กรู้สึกไม่พอใจได้ ความรู้สึกไม่พอใจต่อความไม่เป็นสัดส่วน (disproportionality)
หากสะสมนานเข้าผ่านการเลือกตั้งหลายครั้งอาจขยายตัวกลายเป็นความไม่พอใจต่อระบอบการเมือง
โดยรวมได้ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลผ่านการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งได้
แม้ว่าความนิยมในพรรครัฐบาลลดลงแล้ว แต่ระบบเลือกตั้งยังเอื้อให้พรรครัฐบาลชนะเลือกตั้งเสียง
25
ข้างมากได้แม้ได้คะแนนไม่ถึงครึ่งของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
25 ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียในยุคที่พรรคอัมโนครอบง าการเมืองและปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จด้วยระบบเลือกตั้ง
แบบเสียงข้างมากที่เปิดโอกาสให้แม้ว่าคะแนนเสียงจะลดต่ าลงเรื่อยๆ จนคะแนนรวม (popular vote) แพ้ฝ่ายค้าน แต่ก็ยังได้ที่นั่งใน
สภามากกว่าฝ่ายค้านอย่างมาก จนน าไปสู่กระแสการเดินขบวนประท้วงของภาคประชาชนเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบเลือกตั้ง ดู
ประจักษ์ (2563).