Page 36 - b29416_Fulltext
P. 36

34


                          ในบรรดาพรรคการเมืองที่ลงสู่สนามทั้งหมด สามารถจ าแนกออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

                   1. พรรคที่สนับสนุนระบอบ คสช.และ พล.อ. ประยุทธ์ น าโดยพลังประชารัฐ 2. พรรคที่คัดค้าน
                   ระบอบ คสช. และการสืบทอดอ านาจของ พล.อ. ประยุทธ์ น าโดยพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคต

                   ใหม่ และ 3. พรรคที่ไม่แสดงจุดยืนชัดเจน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งแม้ว่า

                   หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะออกมากล่าวว่าไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์
                   แต่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกส่วนหนึ่งออกมาปฏิเสธว่าเป็นเพียงจุดยืนส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์

                   ไม่ใช่มติพรรค ผลการเลือกตั้งสะท้อนว่าการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองว่าด้วย
                   การเลือกตั้งไทยไปอย่างมากในหลายมิติด้วยกัน คือ ระบบพรรคการเมือง รูปแบบการหาเสียง

                   ความเป็นภูมิภาคนิยม การแบ่งแยกทางสังคม และบทบาทของคนรุ่นใหม่ (McCargo and
                   Saowanee 2019; Rick 2019; )

                          ผลการเลือกตั้งชี้ว่าไม่มีพรรคใดชนะเสียงข้างมากเด็ดขาด คะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับมี

                   ลักษณะกระจัดกระจาย พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็น 2 พรรคหลักที่เคยครอบง า
                   การเมืองในช่วงหลังปี พ.ศ. 2540 ได้ที่นั่งลดลงอย่างมีนัยส าคัญ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐและพรรค

                   อนาคตใหม่ซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นก่อนหน้าการเลือกตั้งครั้งนี้เพียง 1 ปีต่างได้ที่นั่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์

                   คาดคิด โดยทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ต่างได้คะแนนเสียงและที่นั่งมากกว่าพรรค
                   เก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ส่งผลให้การเมืองไทยไม่ได้อยู่ในลักษณะ 2 พรรค (two-party system) อีก

                   ต่อไป แต่มีลักษณะหลายพรรคที่กระจัดกระจาย (fragmented party system) โดยพรรคที่ชนะ
                   อันดับ 1 และ 2 คือพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ได้ที่นั่งในสภาฯ คิดเป็นร้อยละ 27 และ

                   23.4 ของสภาฯ เท่านั้น (เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 ที่พรรคอันดับ 1 ได้ที่นั่งใน
                   สภาฯ ร้อยละ 48-75) และมีพรรคการเมืองได้รับเลือกเข้าสู่สภาฯ ถึง 27 พรรค แต่มีพรรคที่ได้ที่นั่งใน

                   สภาฯ เกิน 50 ที่นั่งเพียง 5 พรรคคือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่

                   พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลือเป็นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่ได้ที่นั่งในสภาฯ
                   น้อยกว่า 15 ที่นั่ง ในจ านวนนี้เป็นพรรคเล็กที่ได้ที่นั่งในสภาฯ เพียง 1 ที่นั่งถึง 11 พรรคด้วยกัน

                   (อันเป็นผลมาจากการใช้สูตรค านวณปัดเศษของ กกต. ซึ่งจัดสรรที่นั่งให้พรรคการเมืองเล็กที่ได้
                                   20
                   คะแนนไม่ถึงโควตา)
                          เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศ จะพบว่าสังคมไทยมีการเลือกตั้งค่อนข้างถี่และบ่อยครั้ง

                   เนื่องจากการเมืองไทยยังขาดเสถียรภาพและประชาธิปไตยยังไม่ตั้งมั่น แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.
                   2540 จะถูกออกแบบเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง แต่การแบ่งขั้วอย่างรุนแรงระหว่างคนในสังคม

                   และการต่อสู้แย่งชิงอ านาจในระดับชนชั้นน าโดยไม่สนใจกติกาประชาธิปไตยก็ส่งผลให้ประชาธิปไตย
                   ไทยถดถอยและมีความผันผวนทางการเมืองสูง





                   20  “สูตรปาร์ตี้ลิสต์ แจก "พรรคเล็ก" กกต.กระสุนตก-รัฐบาลปวกเปียก,” คมชัดลึก, 10 พ.ค. 2562 https://www.komchadluek.net/

                   news/scoop/371142 (เข้าถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2565).
   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41