Page 24 - b29416_Fulltext
P. 24

22


                   ทั้งหลายเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ กรณีซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก คือ การเลือกตั้งในตุรกีในปี 2545

                   ที่พรรคการเมืองจ านวนมากได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ไม่ถึง 10% ที่กฎหมายก าหนดไว้ ท าให้คะแนนเสียง
                   จ านวนสูงถึง 46% ที่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคเหล่านั้นเสียไปโดยปริยาย และท าให้พรรคที่ได้

                   คะแนนเกิน 10 % ได้ที่นั่งมากกว่าที่ตนเองควรจะได้อย่างมหาศาล (Horowitz 2003, 125)

                          นอกจากนั้นยังมีข้อแตกต่างว่าลิสต์รายชื่อนั้นเป็นแบบปิด เปิด หรืออิสระ (closed, open,
                   and free lists) แบบปิดนั้นใช้กันมากที่สุดรวมทั้งกรณีของไทยด้วย คือ พรรคจัดท าบัญชีรายชื่อมา

                   เสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนการเลือกตั้ง เปลี่ยนแปลงไม่ได้  ส่วนแบบเปิดใช้ในหลายประเทศในยุโรป
                   ตะวันตก คือ ผู้เลือกตั้งนอกจากเลือกพรรคยังสามารถจัดล าดับผู้สมัครภายในพรรคนั้นที่ตนต้องการ

                   ให้ได้รับเลือก ข้อเสียของบัญชีแบบเปิดคือ ท าให้มีการแข่งขันกันภายในพรรคเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้
                   ตนเองได้รับเลือก น าไปสู่ความแตกแยกภายในพรรคได้ เช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศอินโดนีเซียที่น าระบบ

                   นี้ไปใช้ (ประจักษ์ 2563) ระบบแบบอิสระเป็นระบบที่ให้อ านาจกับผู้เลือกตั้งมากที่สุด คือ ผู้เลือกตั้งมี

                   คะแนนในมือหลายคะแนน (ตามจ านวนที่นั่ง) และจะเลือกผู้สมัครจากบัญชีรายชื่อต่างพรรคกันก็ได้
                   หรือจะใส่คะแนนให้กับผู้สมัครรายหนึ่งมากกว่าหนึ่งคะแนนก็ได้ ระบบอิสระนี้ใช้ในลักเซมเบิร์กและ

                   สวิตเซอร์แลนด์ (Reynolds, Reily, and Ellis 2005, 90)

                          ข้อดี ของระบบนี้ก็เหมือนกับข้อดีทั่วๆ ไปที่กล่าวถึงแล้วส าหรับระบบการเลือกตั้งแบบ
                   สัดส่วน อย่างไรก็ตาม มีข้อวิจารณ์ว่าระบบนี้ท าให้ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างนักการเมืองกับเขต

                   เลือกตั้งอ่อนแอหรือไม่มีเลย และถ้าระบบบัญชีรายชื่อเป็นแบบระบบปิด ผู้เลือกตั้งก็ไม่มีโอกาสเลือก
                   หรือลงโทษผู้สมัครที่ตนไม่ชอบหรือมีผลงานไม่เป็นที่น่าประทับใจ ข้อวิจารณ์อีกประการหนึ่งคือ ท าให้

                   อ านาจกระจุกตัวอยู่ที่ผู้น าพรรคกลุ่มเล็กๆ ที่มีอ านาจชี้ขาดในการจัดท าบัญชีรายชื่อ
                          ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้คือ แอฟริกาใต้ในการเลือกตั้งครั้งแรกหลังจากสิ้นสุดระบอบ

                   แบ่งแยกสีผิว (Apartheid) ในปี 2537 ซึ่งช่วยให้เกิดความปรองดองระหว่างพรรคใหญ่กับพรรคเล็กที่

                   เป็นตัวแทนกลุ่มการเมืองที่ต่างกัน โดยไม่กีดกันคนกลุ่มน้อย (ผิวขาว) ออกไปจากอ านาจโดยสิ้นเชิง
                          2) ระบบจัดเรียงล าดับความชอบ (preferential voting) แบบ Single Transferable Vote

                   (STV) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาเรื่องระบบการเลือกตั้งหลายรายมักจะลงความเห็นว่าระบบ
                   นี้เป็นระบบการเลือกตั้งที่ดีที่สุด (Taagepera and Shugart 1989; Taagepera 1998; Reynolds

                   1999) แต่ปรากฏว่ามีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกเท่านั้นที่ใช้ระบบนี้ในการเลือกผู้แทน คือ สาธารณรัฐ

                   ไอร์แลนด์ มอลตา เอสโตเนีย (เลิกใช้แล้ว) นอกจากนี้ก็มีการน าไปใช้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของ
                   ออสเตรเลีย รวมทั้งการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นบางแห่งใน สกอตแลนด์และนิวซีแลนด์

                          ระบบนี้ ผู้เลือกตั้งจะท าการเลือกผู้สมัครโดยในเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนได้หลายคน โดยท าการ
                   จัดล าดับความชอบจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด (จะเลือกกี่อันดับก็ได้) ผู้สมัครที่ได้คะแนนเกินกว่า

                   โควตาที่ระบบก าหนดไว้ก็ได้ที่นั่งไปเลยตั้งแต่รอบแรก (สูตรการค านวณคือ โควตา = จ านวนคะแนน

                   เลือกตั้ง/[จ านวนที่นั่ง +1] +1) ระบบนี้เป็นระบบสัดส่วนที่มีลักษณะถือเอาผู้สมัครเป็นศูนย์กลาง
                   (candidate-centered) มากกว่าพรรคเป็นศูนย์กลาง (party-centered) เหมือนระบบปาร์ตี้ลิสต์
   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29