Page 23 - b29416_Fulltext
P. 23
21
ที่นั่งในสภาคิดเป็นประมาณ 40% ของจ านวนที่นั่งทั้งหมด (ดูประกอบใน Reilly 2001, 17-20;
Farrell 2001, 68-95)
ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่ใช้อยู่ในประเทศต่างๆ มีอยู่ 2 รูปแบบหลักด้วยกันคือ 1)
ระบบปาร์ตี้ลิสต์ และ 2) ระบบแบบจัดเรียงล าดับความชอบ (preferential voting) ที่เรียกว่า Single
Transferable Vote (STV) ซึ่งผู้เลือกตั้งสามารถจัดล าดับผู้สมัครที่ตนต้องการในเขตเลือกตั้งที่มี
ผู้สมัครหลายคน จากการส ารวจพบว่าในบรรดาประเทศที่ใช้ระบบสัดส่วน ระบบปาร์ตี้ลิสต์เป็นที่นิยม
กว่าระบบ STV มาก (Reynolds, Reily, and Ellis 2005, 57)
ระบบสัดส่วนต้องใช้เขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนได้มากกว่าหนึ่งคนเสมอ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่
สามารถแบ่งคะแนนเสียงออกเป็นสัดส่วนได้ แต่เขตเลือกตั้งอาจจะเป็นระดับประเทศหรือภูมิภาค
ระบบสัดส่วนนี้ใช้มากเป็นพิเศษในทวีปลาตินอเมริกา แอฟริกา และยุโรป
ข้อดี สภาผู้แทนจะสะท้อนความเป็นสัดส่วนของประชากรในชาติได้ดีกว่าระบบเสียงข้างมาก
พรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนชนกลุ่มน้อยมีโอกาสได้รับเลือกมากขึ้น พรรคการเมืองเล็กมีโอกาสดีขึ้น
เช่นกัน ผู้สมัครผู้หญิงมีโอกาสได้รับเลือกตั้งมากขึ้นในระบบนี้เมื่อเทียบกับระบบเสียงข้างมาก ฉะนั้น
ระบบนี้จึงเป็นที่นิยมในประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่ที่ยังไม่มีพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และเป็นที่
นิยมในประเทศที่มีความแตกต่างหลากหลายต่างเชื้อชาติและศาสนาสูง เพราะเปิดโอกาสให้พรรค
การเมืองของกลุ่มต่างๆ ได้มีตัวแทนในสภา (Reynolds, Reily, and Ellis 2005, 57) ข้อดีอื่นๆ คือ
ท าให้มีคะแนน “เสียเปล่า” (wasted vote) น้อยเพราะทุกคะแนนถูกนับและแปรไปเป็นที่นั่ง ระบบ
นี้จึงสร้างแรงจูงใจให้พรรคการเมืองพยายามหาเสียงและสร้างความนิยมแม้แต่ในพื้นที่เลือกตั้งที่ฐาน
เสียงของพรรคอ่อนแอ เพราะคะแนนทุกคะแนนที่ได้รับสามารถแปรไปเป็นที่นั่งได้เสมอ, ระบบนี้
เอื้อให้เกิดการแบ่งสรรปันส่วนอ านาจระหว่างพรรคและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ได้ง่ายกว่าระบบเสียง
ข้างมากซึ่งเป็นระบบที่มีลักษณะผู้ชนะได้หมด ผู้แพ้เสียหมด
ข้อเสีย ข้อวิพากษ์วิจารณ์หลักต่อระบบสัดส่วนคือ การท าให้เกิดระบบพรรคการเมืองที่
กระจัดกระจายและรัฐบาลผสม ซึ่งลดทอนขีดความสามารถของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายอย่างมี
ประสิทธิภาพ เอื้อให้พรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายสุดโต่งแจ้งเกิดได้และอาจมีอ านาจต่อรองเกินควร
ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม [ยกตัวอย่างกรณีประเทศเยอรมนีช่วงสาธารณรัฐไวร์มาร์ (Weimar
Republic), ดูใน Reynolds, Reily, and Ellis 2005, 59] มีการวิจารณ์ด้วยว่าระบบนี้มีความยุ่งยาก
ซับซ้อนมากเกินไป
1) ระบบปาร์ตี้ลิสต์ มีการค านวณคะแนนได้หลายแบบ และมีการตั้งเกณฑ์ขั้นต่ าแตกต่าง
กันไป เช่น ในตุรกี เกณฑ์ขั้นต่ าที่พรรคการเมืองหนึ่งจะได้รับการจัดสรรที่นั่งในสภาคือ 10%
ในขณะที่อิสราเอลใช้แค่ 1.5% เยอรมนี นิวซีแลนด์ และรัสเซียใช้ 5% (Reynolds, Reily, and Ellis
2005, 60, 83; Horowitz 2003, 125) การก าหนดเกณฑ์ขั้นต่ านั้นถือก าเนิดจากระบบเยอรมนี
ที่ต้องการสกัดพรรคการเมืองขนาดเล็กและพรรคการเมืองหัวรุนแรงสุดโต่ง อย่างไรก็ตาม การก าหนด
เกณฑ์ขั้นต่ าที่สูงเกินไปท าลายหลักความเป็นความสัดส่วน เพราะท าให้คะแนนที่เลือกพรรคขนาดเล็ก