Page 18 - b29416_Fulltext
P. 18
16
2. ความพร้อมรับผิดของผู้แทนต่อผู้ลงคะแนน (accountability) หมายถึงความผูกพันทาง
นโยบายที่ผู้แทนมีต่อประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามา และผู้เลือกตั้งสามารถตรวจสอบควบคุมให้
นักการเมืองที่ตนเลือกเข้าไปท าตามสิ่งที่ได้หาเสียงไว้ หรือเข้ามาดูแลปัญหาความเดือดร้อนของเขต
เลือกตั้งตนเอง ในแง่นี้ไม่ใช่ระบบการเลือกตั้งทุกระบบจะสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์นี้ได้
เหมือนกันหมด ตัวอย่างเช่น ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนแบบปาร์ตี้ลิสต์ (แบบไม่ผสม) ที่ใช้ในบาง
ประเทศ ไม่มีผู้แทนมาจากเขตเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว โดยใช้ทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้งและ
ผู้ลงคะแนนเลือกเฉพาะบัญชีรายชื่อโดยไม่สามารถเลือกผู้แทนเขต ซึ่งท าให้ความผูกพันระหว่าง
ผู้เลือกตั้งกับผู้แทนไม่มี ในแง่นี้ระบบที่มีผู้แทนจากเขตเลือกตั้งจะตอบสนองเป้าหมายข้อดีได้ดีกว่า
3. เสถียรภาพของรัฐบาล เป้าหมายข้อนี้มีความส าคัญ โดยเฉพาะในสังคมที่ประสบปัญหา
การล่มสลายของรัฐบาลอยู่บ่อยครั้งท าให้การบริหารประเทศหยุดชะงักและขาดความต่อเนื่อง
เสถียรภาพของรัฐบาลท าให้การก าหนดและผลักดันนโยบายมีความคงเส้นคงวา และท าให้รัฐบาล
สามารถรักษาสัญญาที่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมีไว้กับผู้ลงคะแนนเสียง เพราะหากรัฐบาลมี
อายุสั้นย่อมไม่สามารถผลักดันนโยบายอะไรได้เลย ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากตอบสนอง
เป้าหมายนี้ได้กว่าระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน
4. ความประสานปรองดองระหว่างประชากรต่างศาสนา ชาติพันธุ์ เป้าหมายนี้มีความส าคัญ
อย่างยิ่งยวดในสังคมที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางสังคมวัฒนธรรม โดยระบบการเลือกตั้งแบบที่ให้
ผู้เลือกตั้งจัดล าดับความชอบผู้สมัครจากมากไปหาน้อย (เช่น ระบบ Alternative Vote และ STV
ดังจะกล่าวในรายละเอียดข้างหน้า) ได้ชื่อว่าตอบสนองเป้าหมายนี้ได้ดีที่สุด เพราะมีกฎกติกาที่สร้าง
แรงจูงใจให้พรรคการเมืองออกแบบนโยบายที่ประสานประโยชน์และความคิดเห็นที่แตกต่าง
หลากหลายมากกว่าที่จะมีนโยบายสุดโต่งหรือคับแคบซึ่งมุ่งตอบสนองกลุ่มศาสนา/ชาติพันธุ์หนึ่งใด
เป็นการเฉพาะ โดยระบบการเลือกตั้งดังกล่าวจะมีข้อบังคับให้พรรคการเมืองต้องได้คะแนนเสียงจาก
กลุ่มประชากรที่ไม่ใช่ฐานเสียงหลักของตนเพื่อชนะการเลือกตั้ง ฉะนั้นจึงบีบให้พรรคการเมืองต้องเข้า
หากลุ่มผู้เลือกตั้งหลากหลายกลุ่ม เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีในไนจีเรียก าหนดว่าผู้ชนะต้องได้
คะแนนเสียงอย่างน้อย 25% จากสองในสามของมลรัฐทั้งหมดของประเทศ หรือการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีอินโดนีเซียซึ่งเพิ่งมีการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกในปี 2547 ได้ก าหนดให้ผู้ชนะต้องได้รับ
คะแนนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาดคือ เกิน 50% และยังต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 20% จาก
อย่างน้อย 16 จังหวัดจากจ านวนจังหวัดทั้งหมด 32 จังหวัด (Emmerson 2004) ข้อก าหนดนี้มีขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สมัครหาเสียงเฉพาะในเขตใดเขตหนึ่งที่รู้ว่าเป็นฐานเสียงอันแน่นหนาของตน
หากต้องหาเสียงกระจายไปทั่วประเทศกับกลุ่มประชากรต่างศาสนา ภาษา และชาติพันธุ์ เพื่อให้
ประธานาธิบดีเป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยป้องกันอคติในเชิงนโยบาย และไม่ท า
ให้ประชากรที่เป็นชนกลุ่มน้อยรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความใส่ใจจากรัฐบาล