Page 17 - b29416_Fulltext
P. 17

15


                   หนึ่ง ไม่มีระบอบการเลือกตั้งในอุดมคติที่เหมาะกับทุกประเทศ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม บริบท และ

                   สภาพปัญหาของแต่ละสังคมที่ต่างกัน และ สอง ระบบการเลือกตั้งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสีย
                   ผสมกันที่หากต้องการน ามาใช้ ก็ต้องชั่งน้ าหนักเอา เช่น ระหว่างการสร้างเสถียรภาพ (ความเข้มแข็ง

                   ของฝ่ายบริหาร) หรือการสะท้อนความเป็นสัดส่วนของกลุ่มต่างๆ (Norris, 2002; Horowitz 2003;

                   Bastian and Luckham 2003) ฉะนั้นสังคมต้องชัดเจนว่าต้องการออกแบบสถาบันการเมืองเพื่อไป
                   บรรลุเป้าหมายอะไร จึงจะสามารถมีเกณฑ์ที่จะวัดได้ว่าเราประสบความส าเร็จในการออกแบบสถาบัน

                   การเมืองหรือไม่  หลังจากนั้นจึงพิจารณาตัวเลือกระบบการเลือกตั้งที่มีอยู่ทั้งหมด และบทเรียนที่
                   เกิดขึ้นจริงในประเทศอื่นๆ ที่ได้ทดลองใช้ระบบการเลือกตั้งในรูปแบบต่างๆ เพื่อเอามาปรับใช้กับ

                   ประเทศของตนเอง


                          เป้าหมายของระบบเลือกตั้ง

                          หลังจากพิจารณาถึงข้อที่ควรคิดค านึงเมื่อสังคมการเมืองก าลังออกแบบระบบเลือกตั้งแล้ว
                   ประเด็นส าคัญที่ต้องตระหนักคือ เป้าหมายของการออกแบบระบบเลือกตั้งในสังคมนั้นคืออะไร ซึ่งแต่

                   ละระบบเลือกตั้งจะมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป ชุมชนการเมืองจึงต้องถกเถียงกันให้ตก

                   ผลึกเสียก่อนว่าปัญหาที่สังคมการเมืองนั้นก าลังเผชิญคืออะไร เป้าหมายทางการเมืองที่ต้องการบรรลุ
                   คืออะไร จากนั้นจึงจะสามารถเลือกระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมสอดคล้องที่สุดมาใช้ โดยเป้าหมายของ

                   การออกแบบระบบเลือกตั้งที่ส าคัญมีอย่างน้อย 5 ประการดังต่อไปนี้ (ปรับประยุกต์จาก Horowitz
                   2003)

                          1. ความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่ง (proportionality) หรือหลักความยุติธรรม
                   ของคะแนน ในระยะหลังมานี้ มีแนวโน้มว่านักวิชาการและผู้ก าหนดนโยบายจ านวนมากหันมาใช้หลัก

                   ความเป็นสัดส่วนเป็นเกณฑ์ในการตัดสินคุณงามความดีของระบบการเลือกตั้ง โดยเห็นว่าระบบการ

                   เลือกตั้งที่สะท้อนความเป็นสัดสวนระหว่างคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับกับที่นั่งในสภาได้ดี
                   (ในความหมายว่าหากพรรคได้คะแนนเสียงสมมติคิดเป็น 40 % พรรคนั้นควรได้ที่นั่งคิดเป็น 40%

                   ของที่นั่งในสภาด้วย) คือ ระบบการเลือกตั้งที่ดีที่สุด ในแง่นี้หลายคนจึงเห็นว่าระบบการเลือกตั้งแบบ
                   สัดส่วน (ระบบปาร์ตี้ลิสต์และระบบ STV จะกล่าวในรายละเอียดข้างหน้า) เป็นระบบที่ดีที่สุด เพราะ

                   ระบบเสียงข้างมากมักจะให้ที่นั่งกับพรรคการเมืองใหญ่มากเกินกว่าคะแนนเสียงที่พรรคได้รับ (เป็น

                   เรื่องปรกติในระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากที่พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงคิดเป็น 40%
                   อาจจะได้ที่นั่ง 50-60% ของที่นั่งทั้งหมด) อย่างไรก็ดี สังคมควรต้องตระหนักว่าหลักความเป็นสัดส่วน

                   มิใช่เป้าหมายประการเดียวกระทั่งอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่ส าคัญที่สุดเสมอไป (Horowitz 2003, 117)
                   เช่นในสถานการณ์ที่สังคมต้องการเสถียรภาพทางการเมือง ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนอาจจะไม่

                   เหมาะสมเพราะมักจะน าไปสู่การเกิดพรรคการเมืองจ านวนมากที่กระจัดกระจาย และยังเอื้อให้เกิด

                   พรรคการเมืองแนวอุดมการณ์สุดโต่งซึ่งอาจจะบั่นทอนความสงบสุขและความสมานฉันท์ทางการเมือง
   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22