Page 96 - 23464_Full text
P. 96
95
พรรคเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก มีการย้ายความสนับสนุนไปมาระหว่าง
ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงไม่มีบทบาทโดดเด่นในการอภิปรายในสภาหรือการผลักดันกฎหมาย
ซึ่งส่งผลในการท าลายความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง
การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งกลับไปใช้ระบบแบบเดียวกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540
ในการเลือกตั้ง 2566 มีผลท าให้ระบบพรรคการเมืองมีความกระจัดกระจายน้อยลง จ านวนพรรค
การเมืองที่ท าหน้าที่ในสภาลดลงจาก 26 พรรคเหลือ 18 พรรค และค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มี
นัยส าคัญลดลงจาก 5.64 เหลือ 4.85 เมื่อดูจากผลการเลือกตั้งจะพบว่าพรรคก้าวไกลและพรรค
เพื่อไทยซึ่งชนะเป็นอันดับที่หนึ่งและสองในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ที่นั่งมากกว่าพรรคที่ชนะอันดับหนึ่ง
และสองในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว (เพื่อไทยและพลังประชารัฐ) คือ พรรคก้าวไกลได้ 151 ที่นั่งและ
พรรคเพื่อไทยได้ 141 ที่นั่ง ในขณะที่การเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยชนะอันดับหนึ่งโดยได้ 136
ที่นั่ง และพลังประชารัฐตามมาด้วย 116 ที่นั่ง จะเห็นว่าระบบเลือกตั้งแบบผสมท าให้พรรคที่ชนะ
เลือกตั้งอันดับหนึ่งและสองมีความเข้มแข็งและขนาดใหญ่ขึ้นกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสม
และมีช่องว่างกับพรรคอันดับ 3, 4, 5 มากขึ้น โยปี 2562 พรรคที่ชนะอันดับ 3, 4, 5 มีที่นั่งดังนี้
อนาคตใหม่ (81) ประชาธิปัตย์ (53) และภูมิใจไทย (51) ในขณะที่การเลือกตั้งปี 2566 พรรคอันดับ
3, 4, 5 ได้ที่นั่งดังนี้ ภูมิใจไทย (71) พลังประชารัฐ (40) รวมไทยสร้างขาติ (36) และเมื่อพิจารณาจาก
คะแนนที่พรรคอันดับหนึ่งและสองได้ในการเลือกตั้งปี 2566 ก็พบว่ามีคะแนนนิยมที่สูงขึ้นจาก
ประชาชนเมื่อเทียบกับพรรคอันดับที่หนึ่งและสองในการเลือกตั้งปี 2562 โดยคะแนนทั้งระบบบัญชี
รายชื่อและระบบเขตของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยในปี 2566 สูงกว่าคะแนนรวม (เนื่องจากเป็น
ระบบบัตรใบเดียว) ของพรรคเพื่อไทยและพลังประชารัฐในปี 2562
ตารางที่ 14: คะแนนของพรรคอันดับหนึ่งและสองในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 และพ.ศ. 2566
การเลือกตั้ง พรรคอันดับ 1 คะแนน พรรคอันดับ 2 คะแนน
2562 เพื่อไทย 7,920,630 พลังประชารัฐ 8,433137
2566 ก้าวไกล 14,438,851 เพื่อไทย 10,962,522
(บัญชีรายชื่อ) (บัญชีรายชื่อ)
9,665,433 9,340,082
(เขต) (เขต)
อย่างไรก็ตาม แม้ระบบเลือกตั้งผสมแบบเสียงข้างมากจะส่งผลให้พรรคขนาดใหญ่สองอันดับ
แรกในระบบพรรคการเมืองมีสัดส่วนที่นั่งและคะแนนเสียงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ท าให้การเมืองไทย
ย้อนกลับไปสู่ระบบสองพรรคการเมืองใหญ่ในสภาแบบเดียวกับช่วงปี 2544-2554 ซึ่งในช่วงเวลานั้น
พรรคไทยรักไทย (ต่อมาเมื่อถูกยุบได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยตามล าดับ)
และพรรคประชาธิปัตย์สองพรรครวมกันสามารถครองที่นั่งในสภาได้เสียงข้างมากเด็ดขาด คือ ร้อยละ
75.2 ถึง 94.6 โดยพรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะทุกครั้งและได้คะแนนและ