Page 91 - 23464_Full text
P. 91
90
ค. ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง (party system)
ระบบพรรคการเมืองในแต่ละประเทศจะเป็นเช่นใดขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายประการ
ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมทางการเมือง โครงสร้าง
และองค์ประกอบของชนชั้นน า ลักษณะของการแบ่งแยกทางสังคม รูปแบบของความขัดแย้ง
ทางการเมือง และระบอบการเมือง อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ทางวิชาการที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งน าไปสู่ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ระบบเลือกตั้งเป็นปัจจัยที่ส าคัญ
ที่สุดประการหนึ่งในการก าหนดลักษณะของระบบพรรคการเมือง (Duverger 1954; Shugart and
Taagepera 2018; Moser, Scheiner, and Stoll 2018)
ระบบพรรคการเมืองในโลกนี้มีได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ระบบการเมืองแบบพรรคเด่น
พรรคเดียว ระบบ 2 พรรค ระบบหลายพรรคที่มีเสถียรภาพ ไปจนถึงระบบหลายพรรคแบบกระจัด
กระจายและไร้เสถียรภาพ ซึ่งระบบพรรคการเมืองหลากหลายรูปแบบเหล่านี้ถูกก าหนดอย่างส าคัญ
จากระบบเลือกตั้งที่แต่ละประเทศเลือกใช้ในห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อก าเนิดการเมืองแบบ
สมัยใหม่ที่มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นองค์กรในการรวบรวมผลประโยชน์และความคิดเห็น
ของประชาชนเพื่อประชันขันแข่งกันในสนามเลือกตั้ง และเมื่อสถานการณ์ทางสังคมและการเมือง
ในแต่ละรัฐมีการเปลี่ยนไปก็อาจน าไปสู่การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบ
พรรคการเมืองตามมา
สังคมไทยมีการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งหลายครั้งตั้งแต่การปฏิรูปการเมืองในปี 2540 โดยใน
การเลือกตั้งแต่ละครั้งจะมีจ านวนพรรคการเมืองเข้าสู่สภาที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้ การเลือกตั้งปี
2544 ซึ่งใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบเสียงข้างมากเป็นครั้งแรก มีพรรคการเมืองจ านวน 9 พรรคเข้าสู่
สภา ในขณะที่การเลือกตั้งปี 2548 ซึ่งใช้ระบบเลือกตั้งแบบเดียวกันมีพรรคการเมืองเหลือ 4 พรรค
เข้าสู่สภา การเลือกตั้งปี 2550 ใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนาน (แต่เปลี่ยนเขตเลือกตั้งทั้งในระบบ
เขตและบัญชีรายชื่อ และปรับสัดส่วนที่นั่งของทั้งสองระบบ) มีพรรคการเมืองเพิ่มกลับมาเป็น 7
พรรค การเลือกตั้งปี 2554 ซึ่งใช้ระบบเลือกตั้งแบบเดียวกับปี 2550 แต่แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนเขต
เลือกตั้งทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ และปรับสัดส่วนที่นั่งส่งผลให้พรรคการเมืองเพิ่มขึ้นมาเป็น 11
พรรค และในปี 2562 ที่มีการน าระบบจัดสรรปันส่วนผสมมาใช้ท าให้มีพรรคการเมืองเข้าสู่สภามาก
92
ที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ทั้งหมด 26 พรรคด้วยกัน
ในการเลือกตั้งปี 2566 มีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าสู่สภารวมทั้งสิ้น
18 พรรค หากดูจากจ านวนพรรคถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองในระบบสูงเป็นอันดับที่สอง
ตั้งแต่การปฏิรูปการเมืองในปี 2540 เป็นต้นมา เป็นรองเพียงแค่การเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งน าระบบผสม
แบบเสียงข้างมากมาใช้ เหตุผลประการหนึ่งคือ การไม่มีเพดานขั้นต่ าเหมือนตอนระบบเลือกตั้งที่ใช้ใน
การเลือกตั้งปี 2544 และ 2548 ที่ก าหนดว่าพรรคที่จะได้รับการจัดสรรที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อต้อง
ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนเกินร้อยละ 5 เมื่อไม่มีเพดานขั้นต่ าท าให้พรรคขนาดเล็กได้เข้าสู่สภา
จ านวนหลายพรรคในครั้งนี้เมื่อเทียบกับปี 2544 และ 2548
92 ดู ประจักษ์ ก้องกีรติ, ระบบเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้งและส่งเสริมคุณภาพประชาธิปไตย, น.117-18.