Page 92 - 23464_Full text
P. 92
91
สมมติว่า ถ้าหากน าเพดานขั้นต่ าร้อยละ 5 (หรือแค่ร้อยละ 1 ซึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรค
พลังประชารัฐเคยเสนอในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยระบบเลือกตั้งของทั้งสองพรรค [ดูตารางที่ 2])
มาใช้ในการเลือกตั้งปี 2566 จะท าให้พรรคการเมืองหายไปจากระบบถึง 7 พรรค เนื่องจากพรรค
เหล่านี้ไม่ชนะในระบบส.ส. เขตแม้แต่ที่นั่งเดียว แต่ได้จัดสรรที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อพรรคละ 1 ที่นั่ง
เนื่องจากมีเศษเหลือคะแนนมากที่สุด พรรคขนาดเล็กเหล่านี้ได้แก่ พรรคเสรีรวมไทย ประชาธิปไตยใหม่
ใหม่ ท้องที่ไทย เป็นธรรม พลังสังคมใหม่ และครูไทยเพื่อประชาชน ซึ่งทั้ง 7 พรรคนี้ได้คะแนนใน
ระบบบัญชีรายชื่อน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ (ดูตารางที่ 7) และดังนั้นจะท าให้เหลือพรรคการเมืองใน
รัฐสภา 11 พรรค ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่าการก าหนดเพดานขั้นต่ ามีผลส าคัญต่อจ านวนพรรคการเมือง
ในระบบ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่องเพดานขั้นต่ าไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียว เพราะในการเลือกตั้งปี 2550
และ 2554 ก็ใช้ระบบผสมแบบเสียงข้างมากโดยไม่มีเพดานขั้นต่ าเช่นกัน แต่ก็มีพรรคการเมืองชนะ
เลือกตั้งเข้าสู่สภาเพียง 7 พรรค และ 11 พรรค (ตามล าดับ) แต่ในการเลือกตั้ง 2566 กลับมีจ านวน
พรรคถึง 18 พรรค สะท้อนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจ านวนหนึ่งแบ่งคะแนนให้กับพรรคขนาดเล็ก
ประเด็นส าคัญคือ การพิจารณาระบบพรรคการเมืองนั้นจะไม่สามารถดูได้จากแค่จ านวน
พรรคการเมืองในสภาเท่านั้นเพราะอาจให้ภาพที่บิดเบือนได้ ยกตัวอย่างเช่น การมีพรรคการเมือง 18
พรรคในสภามิได้หมายความว่าประเทศดังกล่าวมีระบบพรรคการเมืองแบบ 18 พรรค เพราะแต่ละ
พรรคอาจมีที่นั่งแตกต่างกันมากและดังนั้นจึงมีบทบาทส าคัญในการท างานในสภาไม่เท่ากัน หากใน
18 พรรค มี 6 พรรคการเมืองได้ที่นั่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 80 และเหลือที่นั่งอีกร้อยละ 20 ให้อีก 12
พรรคที่เหลือไปแบ่งกัน ย่อมหมายความว่าระบบพรรคการเมืองในประเทศนั้นมีพรรคที่มีบทบาท
ส าคัญทั้งในการแข่งขันเลือกตั้งและในสภาเพียง 6 พรรคหลัก
การค านวณเพื่อหาค่าที่แม่นย าและชัดเจนยิ่งขึ้นว่าระบบพรรคการเมืองของแต่ละประเทศ
เป็นระบบแบบใด (พรรคเด่นพรรคเดียว ระบบสองพรรค ระบบหลายพรรค หรือระบบหลายพรรค
แบบกระจัดกระจาย) จึงต้องใช้ค่ามาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการที่เรียกว่า “ค่าจ านวน
พรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญ” (the effective number of parties) โดยในงานชิ้นนี้ใช้การค านวณ
หาค่าจ านวนพรรคการเมืองในสภา (the effective number of parliamentary parties - ENPP)
93
โดยค านวณจากที่นั่งในสภาที่แต่ละพรรคได้รับ อธิบายง่ายๆ ดังนี้ ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มี
นัยส าคัญเป็นดัชนีบ่งบอกว่าระบบพรรคการเมืองนั้นมีความกระจัดกระจายมากน้อยเพียงใด ยิ่งค่านี้มี
จ านวนมากหมายความว่าระบบพรรคการเมืองมีความกระจัดกระจายหรือมีการแตกตัวสูง เช่น
ถ้าตัวเลขของค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีความส าคัญอยู่ที่ 6 หมายความว่ามีพรรคการเมือง 6 พรรค
ที่มีส่วนแบ่งที่นั่งในสภาอย่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ระบบพรรคการเมืองที่มีเพียง 2 พรรคครองที่นั่ง
ในสภาเบ็ดเสร็จและได้ที่นั่งพรรคละครึ่งหนึ่งในสภา ตัวเลขค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีความส าคัญก็
จะเท่ากับ 2 เป็นต้น
93 อีกค่าหนึ่งคือการค านวณหาค่าจ านวนคะแนนเสียง (vote shares) ที่แต่ละพรรคได้รับ (the effective number
of electoral parties –ENEP) ค่ามาตรฐานนี้คิดค้นโดย Laakso and Taagepera (1979) และถูกใช้อย่าง
กว้างขวางทั่วไปโดยนักวิชาการที่ศึกษาระบบเลือกตั้งและระบบพรรคการเมือง แม้ว่าจะมีข้อวิจารณ์จากนักวิชาการ
บางคน แต่ถือว่ายังคงเป็นค่ามาตรฐานในการชี้วัดลักษณะของระบบพรรคการเมืองในแต่ละสังคม (ดูข้อวิจารณ์และ
การน าเสนอตัวชี้วัดอื่นใน Molinar 1991; Dunleavy and Boucek 2003; และ Golosov 2009).