Page 93 - 23464_Full text
P. 93
92
เมื่อค านวณหาค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญในการเลือกตั้งปี 2562 พบว่าค่าดังกล่าว
เท่ากับ 4.85 ซึ่งเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งระหว่างปี 2544-2562 พบว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีค่าจ านวน
พรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญสูงกว่าปี 2544, 2548, 2550 และ 2554 แต่ต่ ากว่าการเลือกตั้งปี 2562
(ดูตารางที่ 12 และ 13) ซึ่งสะท้อนว่าระบบพรรคการเมืองของไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป
อย่างมีนัยส าคัญคือ ระบบพรรคการเมืองได้ก้าวข้ามพ้นระบบ 2 พรรคใหญ่ไปสู่ระบบหลายพรรค
โดยแนวโน้มของความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มปรากฏเค้าลางให้เห็นตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562
ตารางที่ 12: ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562
การเลือกตั้ง ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญ
2566 4.85
ที่มา: ค านวณจากผลการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566
ตารางที่ 13: ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญระหว่างการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544-2562
การเลือกตั้ง ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญ
2544 3.05
2548 1.65
2550 2.77
2554 2.57
2562 5.64
ที่มา: ค านวณจากผลการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544-2562
ก่อนที่จะวิเคราะห์ถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง
2566 จ าเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปพิจารณาถึงพัฒนาการของระบบพรรคการเมืองที่ด ารงอยู่ก่อนหน้านี้
งานวิจัยของผู้เขียนที่ศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบของระบบเลือกตั้งในช่วงปี 2544-2562 พบว่า
หลังการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 ที่มีการรื้อเปลี่ยนและออกแบบสถาบันการเลือกตั้งครั้งใหญ่
โดยยกเลิกระบบบล็อกโหวต (หรือที่นิยมเรียกว่าระบบแบ่งเขตเรียงเบอร์) มาเป็นระบบผสมที่ใช้บัตร
สองใบและมีบัตรบัญชีรายชื่อให้ประชาชนมีสิทธิเลือกพรรคที่มีนโยบายตรงใจเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็น
ระบบเลือกตั้งที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมือง การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ
ฉบับ 2540 ส่งผลท าให้พรรคการเมืองที่มีบทบาทส าคัญในสภามีจ านวนลดน้อยลง เกิดพรรคการเมือง
ขนาดใหญ่ 2 พรรคที่น าเสนอนโยบายมาแข่งขันกันทั้งในการเลือกตั้งและการท าหน้าที่ในสภา
ซึ่งได้แก่พรรคไทยรักไทยที่ตั้งขึ้นใหม่หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 และพรรคการเมืองเก่าแก่อย่าง
ประชาธิปัตย์ ข้อดีของการที่ระบบพรรคการเมืองเข้มแข็งและมีจ านวนพรรคน้อยลง คือท าให้รัฐบาลมี
เอกภาพในการผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ส าเร็จและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามสัญญา