Page 94 - 23464_Full text
P. 94
93
ที่มีต่อประชาชนในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง และแก้ไขปัญหาของรัฐบาลผสมจ านวนหลายพรรคที่ไม่มี
พรรคใดได้เสียงข้างมากชัดเจนอันก่อให้เกิดการต่อรองต าแหน่งและผลประโยชน์ในสภา และน าไปสู่
94
ความอ่อนแอของรัฐบาลและความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
ปัญหาความไร้เสถียรภาพและการขาดความเข้มแข็งของรัฐบาลประชาธิปไตยจากการ
เลือกตั้งเป็นสภาพปัญหาที่ด ารงอยู่มาอย่างเรื้อรังจนเป็น “อาการป่วย” ของการเมืองไทยก่อนปี
2540 เพราะระบบเลือกตั้งแบบบล็อกโหวตที่มีบัตรใบเดียวให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกได้เฉพาะผู้แทน
ในระบบเขตและหนึ่งเขตเลือกตั้งยังมีผู้แทนได้หลายคนท าให้เกิดการแข่งขันกันเองของผู้สมัคร
ในพรรคเดียวกัน ซึ่งน าไปสู่ความอ่อนแอของพรรคการเมืองต่างๆ รวมไปถึงระบบพรรคการเมือง
โดยรวม แต่ละพรรคเกิดเป็นมุ้งการเมืองย่อยจ านวนมาก ไม่มีพรรคใดชนะเลือกตั้งจากประชาชน
อย่างชัดเจนจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นพรรคขนาดใหญ่ได้ แต่ละพรรคขาดฐานเสียงที่ชัดเจน และไม่มี
ความผูกพันระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งกับพรรคการเมือง เพราะการแข่งขันหาเสียงเน้นไปที่ปัจจัย
ส่วนบุคคลและเครือข่ายอุปถัมภ์ ตัวละครที่มีบทบาทส าคัญจึงตกอยู่กับตัวผู้สมัครที่มีชื่อเสียงและ
อิทธิพล ตระกูลการเมือง และหัวคะแนน ซึ่งจะย้ายความภักดีทางการเมืองได้ในทุกการเลือกตั้ง
จากสังกัดพรรคหนึ่งไปสู่อีกพรรคหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าพรรคใดให้ผลประโยชน์ตอบแทนพวกเขาได้
มากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้พรรคการเมืองจึงอ่อนแอ ล้มลงง่ายเมื่อผลการเลือกตั้งไม่ประสบความส าเร็จ
มุ้งการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่รวมตัวกันชั่วคราวก็จะสลายตัวไป และพากันไปจัดตั้งพรรค
การเมืองใหม่หรือย้ายไปอยู่พรรคอื่น (สมบัติ 2536; McVey 2000; McCargo 2002; Nelson 2005;
สติธร 2562; เวียงรัฐ 2565) ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญก่อนปี 2540 นั้นสูงถึง 6.2 พรรค
(Siripan 2006) การมีพรรคการเมืองถึงประมาณ 6 พรรคที่มีจ านวนที่นั่งในสัดส่วนที่ไม่ได้ต่างกันมาก
ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ท าให้การตั้งรัฐบาลใช้เวลานาน เต็มไปด้วยการต่อรองทั้งในช่วงตั้งรัฐบาล
และระหว่างการบริหารงาน โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าพรรคการเมืองไทยในช่วงก่อนกระแสปฏิรูป
การเมืองปี 2540 ขาดความแตกต่างในเชิงนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมือง ท าให้การต่อรอง
ผลประโยชน์เป็นปัจจัยส าคัญของการจัดตั้งรัฐบาล
ระบบพรรคการเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างส าคัญในช่วงการเลือกตั้งปี 2544 ถึง 2554 ภายใต้
ระบบการเลือกตั้งผสมแบบเสียงข้างมากที่เน้นความเข้มแข็งของพรรค ในช่วงเวลาดังกล่าวค่าจ านวน
พรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญอยู่ระหว่าง 1.65-3.05 โดยการเลือกตั้งที่ท าให้เกิดค่าจ านวน
พรรคการเมืองส าคัญน้อยสุดคือการเลือกตั้งปี 2548 ที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งโดยได้เสียง
ข้างมากเด็ดขาดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เนื่องจากมีที่นั่งในสภาสูงถึงร้อยละ 75.4 (377
ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง) ทิ้งห่างพรรคอันดับ 2 คือพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ที่นั่งในสภาเพียงร้อยละ 19.2
ท าให้การเมืองไทยเหลือพรรคเด่นพรรคเดียวมากกว่าที่จะเป็นระบบสองพรรคที่มีการแข่งขันสูสีและมี
ที่นั่งในสภาใกล้เคียงกัน ดูได้จากค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญลดลงเหลือเพียง 1.65 ซึ่งถือว่า
ต่ าที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของไทย สะท้อนว่าเป็นครั้งแรกที่ระบบพรรคการเมืองไทยมี
ลักษณะเข้าใกล้พรรคเด่นพรรคเดียวเป็นครั้งแรก (และครั้งสุดท้าย) การเลือกตั้งอีก 3 ครั้งที่เหลือคือ
2544, 2550 และ 2554 ค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญมีความใกล้เคียงกันคือ 3.05, 2.77
และ 2.57 ตามล าดับ (ดูตารางที่ 12) สะท้อนภาวะที่มีพรรคเด่นสองพรรคในช่วงนี้ โดยพรรคที่ได้
94 ประจักษ์ ก้องกีรติ, ระบบเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้งและส่งเสริมคุณภาพประชาธิปไตย, น.117-127.