Page 99 - 23154_Fulltext
P. 99

94


                       บริบททางการเมือง

                        หลังเหตุการณ์ปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎร รัฐสภาได้กลายมาเป็นกลไกเชิงสถาบันที่ส าคัญที่

               จะมีบทบาทด้านนิติบัญญัติที่จะตรากฎหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบอบรัฐธรรมนูญโดยยึดโยงกับหลักการ
               ส าคัญที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้คือ “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร”(ธ ารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, 2543) ได้แก่

                       1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
               ของประเทศไว้ให้มั่นคง

                       2. จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

                       3. จะต้องบ ารุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรท า จะ
               วางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
                       4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่

                       5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น

                       6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
                       อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามในการด าเนินนโยบายทางการเมืองของคณะราษฎรตามหลัก 6
               ประการในข้างต้น หรือความพยายามสานอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คณะราษฎรต้องการให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน

               ทางการเมือง ทว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 มีสถานะเป็นเพียง
               รัฐธรรมนูญชั่วคราว เนื่องจากเป็นการประนีประนอมระหว่างคณะราษฎรกับสถาบันกษัตริย์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยน

               ผ่านทางการเมืองได้อย่างสันติและราบรื่น ส่งผลให้การเตรียมการรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับสมบูรณ์
               เป็นการที่คณะราษฎรรับเอาการตัดสินพระทัยจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาประกอบด้วย เช่นนั้น

               แล้วพื้นที่ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและอนุกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นพื้นที่ของการประชัน
               ทางอ านาจระหว่างชนชั้นน าระบอบเก่ากับคณะราษฎร

                       พื้นที่ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและอนุกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ในการสงวน
               อ านาจบางประการของระบอบเก่า ผ่านข้อสังเกต 3 กรณีของการถกเถียงในกระบวนการออกแบบรัฐธรรมนูญ

               สยาม ได้แก่ กรณีแรก ความพยายามรักษาสถานภาพทางอ านาจของสถาบันกษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
               เจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้ใช้ค าว่า “พระมหากษัตริย์” ซึ่งแสดงถึงนักรบที่ยิ่งใหญ่ปกป้องบ้านเมืองมาตามโบราณราช

               ประเพณี แทนที่จะใช้เพียงค าว่า “กษัตริย์” นอกจากนั้นยังมีข้อถกเถียงถึงการบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้
               พระมหากษัตริย์มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะราษฎรมองว่ารัฐธรรมนูญของหลายประเทศได้บัญญัติให้
               ประมุขมีหน้าที่พิทักษ์คุ้มครองรัฐธรรมนูญและจ าเป็นต้องปฏิญาณตนเมื่อเข้ารับต าแหน่งว่าจะพิทักษ์รักษา

               รัฐธรรมนูญ ขณะที่ฝั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตีความว่า พระมหากษัตริย์ทรงสัตยาธิษฐานในพิธี
               ราชาภิเษกอยู่แล้วตามราชประเพณี ซึ่งคนของระบอบเก่ามองว่าการท าตามราชประเพณีเป็นเรื่องที่ส าคัญอยู่แล้ว

               แม้ไม่ต้องบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ชัยชนะของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในการลงมตินั้นสะท้อนถึงพลังของราชการ
               ชั้นผู้ใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรและอนุกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่พยายามคงไว้ซึ่งอ านาจในความหมายของค าที่
               จะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมถึงอ านาจของระบอบเก่าที่คงอยู่ในรูปของราชประเพณีที่รัฐธรรมนูญจะไม่สามารถ
   94   95   96   97   98   99   100   101   102   103   104