Page 97 - 23154_Fulltext
P. 97

92


               พฤติกรรมของฝ่ายบริหารและให้อ านาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 ที่บัญญัติว่า “สภา

               ผู้แทนราษฎรมีอ านาจควบคุมดูแลกิจการของประเทศ และมีอ านาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือ
               พนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้” แสดงให้เห็นความเหนือกว่าสภาผู้แทนราษฎรในการที่จะสามารถถอดถอนฝ่าย
               บริหารได้ (Mérieau, 2019)

                       ส่วนที่สอง คณะราษฎรยังเป็นกลุ่มการเมืองที่ส าคัญในฐานะแก่นกลางส าคัญในการควบคุมความสัมพันธ์
               เชิงอ านาจของระบบรัฐสภา โดยมีอ านาจตามหมวดที่ 4 ของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม

               ชั่วคราว พ.ศ. 2475 มาตรา 10 ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปตามแต่ละสมัย แต่อย่างไรก็ตาม กลไกของ
               คณะกรรมการราษฎรไม่ใช่เป็นสถาบันการเมืองที่จะด ารงอยู่ในระยะยาว หากเป็นด ารงอยู่เพียงก ากับบรรยากาศ

               ทางการเมืองจนครบระยะเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่  สมัยที่ 1 ให้คณะผู้รักษาพระ
               นครฝ่ายทหารของคณะราษฎรเป็นผู้ใช้อ านาจแทนในการจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราว 70 คนเพื่อเป็นสมาชิกใน

               สภา หลังจากนั้นถัดมา 6 เดือนจึงจะเข้าสู่สมัยที่สอง จึงจะแบ่งเป็นสมาชิกประเภทที่หนึ่งซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้ง
               จังหวัดละ 1 คน และเพิ่มจ านวนผู้แทนทุก 1 คนต่อจังหวัดตามจ านวนประชากรทุก 100,000 คน และผู้แทน
               ประเภทที่สองซึ่งเป็นสมาชิกเดิมในสมัยแรกและให้มีการเลือกเพิ่มหรือคัดออกในกรณีที่สมาชิกขาดหรือเกินกว่า

               ก าหนด นอกจากนั้นข้อสังเกตส าคัญอยู่ที่ประการที่สามที่ได้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะราษฎรต่อความพร้อม
               ของประชาชนในการเลือกตั้งหลังจากได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา โดยมีเงื่อนไขคือจ านวนประชากรที่ได้รับ

               การศึกษาระดับประถมเกินกึ่งหนึ่งและไม่เกินกว่า 10 ปีหลังจากสมัยแรก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมาจากการ
               เลือกตั้งทั้งสิ้นและไม่มีผู้แทนประเภทที่สองอีกต่อไป ในแง่นี้จึงสังเกตได้ว่า คณะราษฎรได้วางกลไกส าคัญที่จะเข้า

               มาควบคุมของสภาผู้แทนราษฎรผ่านการคัดสรรบุคลากรโดยคณะราษฎรเอง และขณะเดียวกันก็ให้การศึกษาแก่
               ประชาชนโดยทั่วไปเพื่อขัดเกลาความรู้ความเข้าใจในเรื่องของสังคมการเมืองภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ (Mérieau,

               2019)
                       นอกจากนั้นแล้ว อ านาจของสถาบันกษัตริย์ก็สังเกตได้เช่นกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ
               จ ากัดอ านาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนด้วยการเปลี่ยนผ่านอ านาจสู่ระบอบ

               รัฐธรรมนูญที่ระบบรัฐสภาท าหน้าที่บัญญัติกฎหมายเพื่อประชาชน ดังจะสังเกตได้จากมาตรา 1 ที่กล่าวไว้แล้ว
               ข้างต้น นอกจากนั้นยังมีข้อสังเกตส าคัญก็คือ การกระท าของพระมหากษัตริย์จะถูกก ากับโดยคณะกรรมการราษฎร

               หรือรัฐสภา ดังเช่นในมาตรา 5 ว่าด้วย “ถ้ากษัตริย์มีเหตุจ าเป็นชั่วคราวที่จะท าหน้าที่ไม่ได้ หรือไม่อยู่ในพระนคร
               ให้คณะกรรมการราษฎรเป็นผู้ใช้สิทธิแทน” และมาตรา 7 ระบุว่า “การกระท าใด ๆ ของกษัตริย์ต้องมีกรรมการ

               ราษฎรผู้ใดผู้หนึ่งลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึ่งจะสามารถใช้ได้ มิฉะนั้นเป็น
               โมฆะ” นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่ระบบรัฐสภาเป็นใหญ่ผ่านข้อกฎหมายพิจารณาคดี

               เกี่ยวกับกษัตริย์ได้ด้วยเช่นกันในมาตรา 6 ที่ก าหนดไว้ว่า “กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้ เป็น
               หน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย”

                        สรุป
   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101   102